ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน ทั้งเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและราคาน้ำมันที่ผันผวน ตลอดจน Spread ของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีที่ลดลง รวมทั้งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ แต่ ปตท.ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของกลยุทธ์ที่มาถูกทาง ด้วยการสร้างผลกำไรครึ่งแรกของปี 2568 สูงถึง 44,848 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนกลยุทธ์เพื่อเพิ่ม EBITDA Uplift ในทุกมิติ
ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. เปิดเผยถึงความก้าวหน้าในการดำเนินงานว่า แม้จะมีปัจจัยภายนอกหลายอย่างเข้ามากระทบ แต่ตลอด 6 เดือนแรกของปี 2568 ปตท.ยังคงสามารถสร้างผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ซึ่งแม้ว่ากำไรจะน้อยกว่าปี 2567 ที่มีกำไรสุทธิ 90,072 ล้านบาท แต่นั่นเป็นเพราะในปี 2567 มีการรับรู้กำไรจากรายการพิเศษที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ (Non-recurring Items)
ดร.คงกระพันให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในช่วง 2 ปีนี้ ปตท.มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการสร้างความแข็งแกร่งภายในองค์กร ผ่านโครงการสำคัญที่จะช่วยยกระดับผลการดำเนินงาน เพิ่ม EBITDA Uplift และสร้างความสามารถในการแข่งขันของกลุ่ม ปตท.ในทุกมิติ โดยมี Key Initiatives เพื่อ EBITDA Uplift และตอบสนองต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย แบ่งออกเป็น 3 ช่วงเวลา ประกอบด้วย
ระยะสั้น มี 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่
1. การบริหารความร่วมมือด้าน Supply Chain และ Marketing ของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ผ่านโครงการ D1 และ P1 เพื่อยกระดับ Synergy ภายในกลุ่ม ปตท. และเตรียมความพร้อมขยายตลาดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีทั้งในและต่างประเทศ โดยตั้งเป้าเพิ่ม EBITDA ปีนี้รวม 4,300 ล้านบาท ขณะที่ครึ่งปีแรก D1 และ P1 ทำได้แล้ว 2,383 ล้านบาท
2. Operational Excellence (MissionX) ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพ (Lean Process) ควบคู่กับการทำ Change Management และ Best Practice Sharing เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน โดยในส่วนของ MissionX วางเป้าเพิ่ม EBITDA ปีนี้รวม 10,000 ล้านบาท โดยครึ่งแรกของปีนี้ทำได้แล้ว 4,700 ล้านบาท จากนั้นปี 2570 ตั้งเป้าขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 30,000 ล้านบาท
3. ขับเคลื่อน Digital Transformation (Axis) โดยผลักดันให้เกิดการพัฒนา Use Cases สนับสนุนธุรกิจกลุ่ม ปตท. พร้อมทั้งพัฒนา Infrastructure และศักยภาพพนักงาน วางเป้าเพิ่ม EBITDA ปีนี้รวม 200 ล้านบาท โดยครึ่งแรกของปีนี้ทำได้แล้ว 60 ล้านบาท จากนั้นปี 2572 ตั้งเป้าขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 12,000 ล้านบาท
ในขณะที่ระยะกลาง ปตท.จะทำการปรับโครงสร้างธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น (Reshape P&R Portfolio) โดยปรับ Portfolio กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมและโรงกลั่น (P&R) เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัทเรือธง (Flagships) พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้มีพาทเนอร์เข้ามาช่วยเพิ่มมูลค่า แต่ ปตท. จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยคาดว่าจะมีการสรุปรายชื่อ Shortlist Partner ได้ภายในปี 2568 นี้ และตั้งเป้าให้แล้วเสร็จภายในปี 2569
ส่วนธุรกิจ LNG Growth ปตท.มีเป้าหมายในการเป็นผู้เล่นหลักในตลาด LNG ระดับโลก พร้อมตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิต LNG เป็น 10 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2573 และ 15 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2578 พร้อมกันนี้ยังได้ลงนามข้อตกลงร่วมศึกษาการจัดหา LNG ระยะยาวกับบริษัท 8 Star Alaska, LLC จากสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
ส่วนในระยะยาว ธุรกิจ CCS (Carbon Capture and Storage) ปีนี้อยู่ระหว่างศึกษาพัฒนาแหล่งอาทิตย์ (Arthit) โดยในปี 2571 คาดว่าจะมีปริมาณ CCS COD ที่ 1 ล้านตัน และปี 2577 จะขยายสู่การเป็น Eastern Thailand CCS Hub ที่ปริมาณกว่า 5 ล้านตัน
นอกจากนั้น ปตท.ยังมุ่งเน้นเสริมสร้างความแข็งแกร่งภายในองค์กร รวมทั้งความแข็งแกร่งและวินัยทางการเงินเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการบริหารสินทรัพย์เพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดของกลุ่ม ปตท. เพิ่ม Asset Optimization & Synergy และปรับโครงสร้างสินทรัพย์ให้เหมาะสม ซึ่งจะเพิ่มผลการดำเนินงานและมีความมั่นคงในระยะยาว
โดย EBITDA ที่มาจากการรักษาวินัยทางการเงิน (Cost Saving) ช่วยให้ ปตท. สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตลอดครึ่งปีแรกปี 2568 สูงถึง 3,814 ล้านบาท และคาดว่าตลอดทั้งปี 2568 จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากถึง 10,000 ล้านบาท
ขณะที่ Asset Monetization (A1) การบริหารสินทรัพย์เพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดของกลุ่ม ปตท.เพื่อเพิ่ม Asset Optimization & Synergy และปรับโครงสร้างสินทรัพย์ให้เหมาะสม ซึ่ง A1 จะเพิ่มผลการดำเนินงานและมีความมั่นคงในระยะยาว แสวงหาโอกาสในการสร้างผลกำไร โดยมีการตั้งเป้าเพิ่มกระแสเงินสดในช่วง 2 ปีนี้ (ปี 2568-2569) รวม 100,000 ล้านบาท แบ่งเป็นปี 2568 จะสร้างกระแสเงินได้ 38,000 ล้านบาท และปี 2569 จำนวน 77,000 ล้านบาท และเพิ่ม ROIC ขึ้นจากเดิมอีก 5-10%
ทั้งนี้ ในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ปตท.มีความก้าวหน้าในด้านผลดำเนินงานที่น่าสนใจ ทั้งธุรกิจ Hydrocarbon ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ ปตท.ยังคงเดินหน้าในฐานะขุมพลังหลักในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความเข้มแข็งในการแข่งขันอย่างไม่หยุดยั้ง เช่น บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.) ซึ่งได้ขยายการสำรวจและผลิตในแหล่งใหม่ๆ และมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น
ส่วนธุรกิจ Non-Hydrocarbon มีความก้าวหน้าตามแผนด้วยดี โดยเฉพาะธุรกิจ Life Science ที่ร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อสร้างการเติบโตแบบพึ่งพาตนเอง โดย ปตท.มีแผนนำบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาหาธุรกิจใหม่เพิ่มเติมเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับอินโนบิก อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา ปตท.ได้อนุมัติการขายหุ้นบริษัท Lotus Pharmaceutical Company Limited (Lotus) ไม่เกิน 2% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดผ่านตลาดหลักทรัพย์ไต้หวัน (TWSE) ส่งผลให้อินโนบิกถือหุ้นใน Lotus อยู่ไม่ต่ำกว่า 36% เพื่อให้ Lotus สามารถจัดหาแหล่งเงินทุนเองในการขยายธุรกิจยา
ส่วนการดำเนินงานด้านความยั่งยืน กลุ่ม ปตท.ยึดหลักการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานอย่างสมดุลใน 3 มิติ ได้แก่ 1. เสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน มีการกระจายความเสี่ยง สามารถรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Security) 2. จัดหาแหล่งพลังงานที่สามารถเข้าถึงได้ในราคาที่เหมาะสม ด้วยต้นทุนที่แข่งขันได้ (Affordability / Competitiveness) และ 3. ขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืน ควบคู่การลดก๊าซเรือนกระจก (Sustainability) ดำเนินการศึกษา Eastern Thailand CCS Hub แล้วเสร็จ โดยมีการ FID โครงการ CCS ในแหล่งอาทิตย์ พร้อมแสวงหาโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ
สำหรับทิศทางผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ดร.คงกระพันระบุว่า แม้ราคาน้ำมันดิบอาจจะไม่ได้ปรับขึ้นมากนัก ขณะที่มาร์จิ้นโรงกลั่นและปิโตรเคมียังทรงตัว แต่กลุ่ม ปตท.มีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถดำเนินโครงการต่างๆ ตามกลยุทธ์เพื่อเพิ่ม EBITDA ได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอน