xs
xsm
sm
md
lg

ไฮซีซันหนุนหุ้นไทยQ4พุ่ง โอกาสทำกำไรสูงจากมาตรการรัฐ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 มีโอกาสแกว่งตัวในแดนบวก โดยมีปัจจัยหนุนจากช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (High Season) และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล นักวิเคราะห์ประเมินกรอบดัชนีสิ้นปีที่ 1,275 - 1,350 จุด กลยุทธ์ลงทุนจึงควรเน้นกลุ่ม Domestic Play เช่น ท่องเที่ยว ค้าปลีก และหุ้นปันผลดี/Defensive เพื่อรับอานิสงส์จากเม็ดเงิน ThaiESG และแนวโน้มการลดดอกเบี้ย  

เป็นที่ทราบกันดีว่า ช่วงไตรมาสที่ 4 ของทุกปี ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความคึกคักของเศรษฐกิจไทยตามฤดูกาล (High Season) ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลท่องเที่ยวปลายปี และการจับจ่ายใช้สอยในช่วงวันหยุดยาว นั่นทำให้หลายธุรกิจจะได้รับอานิสงส์จากการจับจ่ายใช้สอยที่ส่งผลให้ผลดำเนินของบริษัทในช่วงเวลาดังกล่าวเติบดตโดเด่นอย่างน่าสนใจ
ขณะที่ในไตรมาส4/2658 นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า ตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงขาลงที่จำกัดกว่าตลาดหุ้นโลก และมีโอกาสที่จะฟื้นตัวหรือแกว่งตัวในแดนบวกได้ โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศที่แข็งแกร่ง และเม็ดเงินจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ 

 ภาพรวมSET Index ใน Q4/68

นักวิเคราะห์ประเมินว่าดัชนี SET Index ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 มีโอกาสแกว่งตัวอยู่ในกรอบที่น่าสนใจ โดยหลายสำนักให้เป้าหมายดัชนีสิ้นปีที่ระดับ 1,275 - 1,350 จุด หรือมีโอกาสลุ้นขึ้นไปแตะระดับ 1,340 จุด ได้ หากปัจจัยบวกต่าง ๆ เข้ามาสนับสนุนอย่างเต็มที่

โดยปัจจัยขับเคลื่อนหลัก ได้แก่ High Season ของภาคการท่องเที่ยว นั่นหมายถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายปี ส่งผลดีต่อกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องโดยตรง ขณะเดียวกัน ยังมีปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ โดยเฉพาะนโยบายที่มุ่งเน้นการเพิ่มกำลังซื้อและการบริโภคในประเทศ เช่น มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว (เที่ยวดีมีคืน) และการสนับสนุนการใช้จ่าย

รวมถึงคาดการณ์ว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนที่ไหลเข้ากองทุน ThaiESG อย่างต่อเนื่อง เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งจะช่วยหนุนสภาพคล่องในตลาดหุ้น นอกจากนี้มีการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจเริ่มเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงอีกครั้ง แม้จะมีความเสี่ยงเงินเฟ้อกลับมา ก็เป็นปัจจัยที่นักลงทุนต่างชาติจับตา




รัฐบาลใหม่ช่วยขับเคลื่อน ศก.

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (บล.ทิสโก้) มองว่าตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่อง ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี โดยมีปัจจัยบวกภายในประเทศที่เด่นชัดเข้าหนุน โดยปัจจัยหลักที่เปลี่ยนแปลงและสร้างความหวังเชิงบวกคือ การมีรัฐบาลใหม่ ที่เริ่มทำงานอย่างเป็นทางการ ประกอบกับคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้ม ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ลง 1 ครั้งในไตรมาส 4/2568 (โดยให้น้ำหนักการลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม) เพื่อรับมือกับเศรษฐกิจไทยที่เผชิญแรงกดดันทั้งจากอุปสงค์ภายในที่ชะลอตัวและภาคต่างประเทศ

ทั้งนี้ การลดดอกเบี้ยนโยบายนี้จะส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยตอบสนองในเชิงบวก ตามสถิติในอดีตที่ตลาดหุ้นมักให้ผลตอบแทนเป็นบวกในช่วงวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง

โดย บล.ทิสโก้ ได้ ปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนี SET Index สิ้นปี 2568 เป็น 1,334 จุด และคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นไทยจะค่อย ๆ ยกกรอบการแกว่งตัวขึ้นสู่ระดับ 1,300 - 1,400 จุด ในช่วงถัดไป โดยเน้นย้ำถึงสัญญาณการเพิ่มขึ้นของกำไรบริษัทจดทะเบียน กลยุทธ์การลงทุนที่แนะนำจึงเน้นไปที่หุ้นที่ได้อานิสงส์จากการลดดอกเบี้ยและหุ้นที่มีความปลอดภัย (Defensive)





เม็ดเงินลงทุนจากกองทุน ThaiESG

บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด (บล.โกลเบล็ก) มองว่า SET Index ในไตรมาส 4/2568 มีโอกาสที่จะทะยานขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยฤดูกาลและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลอย่างชัดเจน ส่วนปัจจัยบวกหลักคือ มาตรการกระตุ้นการบริโภคและการท่องเที่ยว อาทิ โครงการ "เที่ยวดีมีคืน" ที่จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงปลายปีที่เป็นช่วงไฮซีซันอยู่แล้ว
นอกจากนี้ เม็ดเงินลงทุนจากกองทุน ThaiESG ที่เริ่มไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ก็เป็นแรงหนุนสำคัญที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษี และยังมีแรงหนุนจากนโยบายด้านพลังงานในการส่งเสริม Direct PPA เพื่อดึงดูดการลงทุนใน Data Center

ทำให้ บล.โกลเบล็ก คาดการณ์ว่าดัชนี SET Index มีโอกาสลุ้นแตะระดับ 1,370 จุด ในช่วงไตรมาส 4/2568 กลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำให้เน้นหุ้นกลุ่มที่ได้อานิสงส์จากมาตรการรัฐโดยตรง ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยว (เช่น MINT, ERW, CENTEL, AWC, BA, AAV) และ กลุ่มโรงไฟฟ้า ที่ได้รับแรงหนุนจากนโยบายสนับสนุน Data Center (เช่น GULF, BGRIM, GPSC, EGCO, RATCH)




SET Indexอาจเริ่มชะลอตัว

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด (บล.หยวนต้า) มองว่า อัตราเร่งการปรับขึ้นของ SET Index ในไตรมาส 4/2568 จะเริ่มชะลอตัว ลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากระดับมูลค่า (Valuation) ที่ระดับ Forward P/E ถือว่า ไม่อยู่ในโซนที่ถูก เมื่อเทียบกับตลาดเกิดใหม่อื่น ๆ แต่ยังมีโอกาสที่จะแกว่งตัวในลักษณะ Sideway to Sideway Up
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยหนุนที่สำคัญ ได้แก่ การคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งจะกดดัน US Bond Yield และ Dollar Index ให้อ่อนค่าลง ซึ่งเป็นผลดีต่อกระแสเงินลงทุนไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) โดยเฉพาะกลุ่ม Yield Play นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ของรัฐบาล และแรงเก็งกำไรจากเม็ดเงิน Thai ESG จะยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในประเทศ

ทำให้ บล.หยวนต้า ยังคงเป้าหมาย SET Index สิ้นปี 2568 ไว้ที่ 1,275 จุด แต่ปรับใช้เป้าหมาย SET Index ปี 2569 ที่ 1,400 จุด กลยุทธ์การลงทุนหลักใน Q4/2568 จึงเน้นที่ธีม Domestic & Yield Play โดยเฉพาะกลุ่มสื่อสาร โรงไฟฟ้า ไฟแนนซ์ และ REITs ซึ่งได้อานิสงส์จากการลดดอกเบี้ยและมาตรการกระตุ้นการบริโภค



 ระวัง ศก.สหรัฐฯอาจกดดัน

อย่างไรก็ตามความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะประเด็นด้านตลาดแรงงานที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม นอกจากนี้ สิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่งคือ โอกาสที่เงินเฟ้อจะกลับมาปรับตัวเร่งขึ้นอีกครั้ง ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง จะทำให้โอกาสในการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยถูกลดทอนลงไป จนอาจทำให้นักลงทุนในตลาดโลกที่คาดหวังการลดดอกเบี้ยต้องผิดหวัง ซึ่งจะส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยถูกกดดันตามไปด้วย  


ต้องติดตามแรงส่งดัชนีเริ่มแผ่ว

ขณะเดียวกัน แม้ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงก่อนหน้า แต่แรงส่งของ SET Index ในไตรมาส 4/2568 ถูกคาดการณ์ว่าจะเริ่มชะลอตัวลง เนื่องจากมูลค่าของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน ไม่อยู่ในโซนที่ถูก อีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากอัตราส่วนราคาต่อกำไรล่วงหน้า (Forward P/E) ที่ระดับประมาณ 14.7 เท่า ถึง 15.0 เท่า ซึ่งถือว่าสูงกว่าระดับที่เคยซื้อขายในช่วงก่อนหน้า นอกจากนี้การที่มูลค่าตึงตัวขึ้น ทำให้ Upside ของดัชนีมีจำกัด และดัชนีมีโอกาสที่จะแกว่งตัวในกรอบแคบ หรือปรับขึ้นแบบ Sideway Up อย่างช้า ๆ เท่านั้น
 

 ทิศทาง Fund Flowไม่ชัดเจน

ไม่เพียงเท่านี้ ภาพรวมเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ (Fund Flow) ในไตรมาส 4/2568 นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองเป็น กลาง โดยทิศทางโดยรวมยังเป็นลักษณะ ไหลออกสลับไหลเข้า เมื่อมีประเด็นให้เก็งกำไรในระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งต่างจากในอดีตที่เม็ดเงินต่างชาติมักไหลเข้าในช่วงปลายปีที่มีความคาดหวังปัจจัยบวก
ดังนั้น หาก Fund Flow ของต่างชาติยังคงไม่กลับมาอย่างมีนัยสำคัญ ก็จะเป็นแรงกดดันสำคัญต่อปริมาณการซื้อขายและจำกัดการปรับตัวขึ้นของดัชนี โดยเม็ดเงินที่เข้าสู่ตลาดส่วนใหญ่ในช่วงปลายปีจึงเน้นไปที่เม็ดเงินจากกองทุนประหยัดภาษีในประเทศมากกว่า



ความเสี่ยงจากปัจจัยภายใน

ขณะเดียวกันแม้จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเข้ามารองรับ แต่ยังมีปัจจัยภายในประเทศที่อาจส่งผลลบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ในระยะสั้น ได้แก่ ความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่ยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านหรือสุญญากาศทางการเมือง รวมถึงประเด็นความล่าช้าของนโยบาย นอกจากนี้ ตลาดยังคงต้องเฝ้าระวังตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น การแถลงตัวเลข GDP ไตรมาส 3/2568 โดยสภาพัฒน์ และ ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในช่วงเดือนธันวาคม ซึ่งหากผลลัพธ์ออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ อาจสร้างความผิดหวังและเป็นแรงกดดันให้ดัชนีป



กลยุทธ์ลงทุนไตรมาส4/68

บล.ทิสโก้ ยังคงมุมมองที่เป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทยในระยะ 3-6 เดือนข้างหน้า โดยมองว่าตลาดกำลังเข้าสู่ช่วง ทยอยฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังจากที่ตลาดหุ้นไทย (SET Index) ปรับตัว Laggard ตลาดหุ้นโลกและตลาดหุ้นเอเชียอย่างมากในปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ราคาหุ้นไทยอยู่ในระดับที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดอื่น ๆ

ทำให้กลยุทธ์การลงทุนหลักจึงเน้นการ สะสมหุ้นที่มีมูลค่าถูกและมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว โดยมีแรงหนุนสำคัญจาก 1) แนวโน้มที่นโยบายการเงินของทั้งสหรัฐฯ และไทยจะอยู่ในโหมดผ่อนคลาย (การลดดอกเบี้ย) 2) การเข้าสู่ฤดูกาลของเม็ดเงินกองทุนลดหย่อนภาษี (RMF และ Thai ESG) ที่คาดว่าจะไหลเข้าตลาดราว 1-1.5 หมื่นล้านบาทในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม
นอกจากนี้ บล.ทิสโก้ ชี้ว่าหุ้นไทยมีเสน่ห์ดึงดูดเม็ดเงินไหลเข้ามากขึ้น เพราะให้ ผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) สูงถึง 4.3% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดหุ้นต่างประเทศ (2.6%) และสูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (ประมาณ 4%) ทำให้หุ้นไทยมีความน่าดึงดูดในฐานะสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง กลยุทธ์ที่แนะนำคือการทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดีเพื่อรอรับการฟื้นตัวและเงินปันผล


รอดูสถานการ์ก่อนลงทุน

บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย (บล.กสิกรไทย) ปรับมุมมองต่อการลงทุนหุ้นไทยดีขึ้น จากมุมมองค่อนข้างลบ (Slightly Negative) ในเดือนตุลาคม 2568 เป็นมุมมองเป็นกลาง (Neutral) ในเดือนพฤศจิกายน 2568 เนื่องจากปัจจัยลบด้านเศรษฐกิจโลกและการส่งออกได้ถูกสะท้อนเข้าไปในราคาหุ้นบางส่วนแล้ว และเริ่มมีสัญญาณบวกในประเทศเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเข้าลงทุนในหุ้นไทย ควรใช้กลยุทธ์ "รอดูสถานการณ์" หรือ "คงน้ำหนักการลงทุน" หากยังมีการถือครองกองทุนหุ้นไทยไม่มากนัก (ไม่เกิน 20% ของเงินลงทุน) เนื่องจากตลาดยังขาดปัจจัยใหม่ ๆ ที่ชัดเจนมาหนุนการขึ้นอย่างรุนแรง และยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยภายในที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เช่น ความคืบหน้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ในทางกลับกัน สำหรับนักลงทุนที่มีกำไรหรือถือกองทุนหุ้นไทยในสัดส่วนสูง (เกิน 20%) แนะนำให้ พิจารณาขายบางส่วน เพื่อลดความเสี่ยง และ สับเปลี่ยน (Switching) ไปยังกองทุนหุ้นต่างประเทศที่มีโอกาสในการเติบโตสูงกว่า เช่น ตลาดหุ้นที่เน้น AI หรือกลุ่มประเทศที่ได้รับปัจจัยบวกเฉพาะตัว



ปีก่อนเติบโตน้อยหนุนปีนี้โดดเด่น

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (บล.เอเซีย พลัส) มีมุมมองว่าตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 4/2568 จะเป็นช่วงที่ กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) มีโอกาสเติบโตเด่น เนื่องจากฐานกำไรในช่วงไตรมาส 4/2567 อยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำมาก ทำให้ง่ายต่อการเปรียบเทียบและการเติบโตแบบเทียบปีก่อน นอกจากนี้ยังเห็นสัญญาณการปรับประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดโดยรวมเริ่มมีการปรับเพิ่มขึ้น

ทำให้กลยุทธ์หลักจึงเน้นการเข้าสะสมหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก ธีมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ และหุ้นที่มีผลประกอบการเติบโตแข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีหลัง ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยวและกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงหุ้นที่เน้นธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน โดยแนะนำให้นักลงทุนทยอยสะสมหุ้นที่ถูกมองว่า "ถูกลงเรื่อยๆ" ในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติ โดยเน้นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและมีมูลค่าที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกลุ่มที่ราคายัง Laggard และมีโอกาสปรับตัวขึ้นรับการไหลกลับของ Fund Flow หากปัจจัยบวกภายนอกเริ่มคลี่คลาย



ส่องหุ้นเด่นรับQ4/68

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วง Q4/2568 นักวิเคราะห์มองว่าควรเน้นกลุ่มที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศ (Domestic Play) และได้รับประโยชน์โดยตรงจากปัจจัยตามฤดูกาล ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยว & โรงแรม ได้ประโยชน์สูงสุดจาก High Season, การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐ โดยหุ้นที่น่าสนใจคือ MINT, ERW, CENTEL, AWC
ถัดมาคือกลุ่มค้าปลีก & บริโภค ได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐบาล และเทศกาลจับจ่ายใช้สอยปลายปี โดยหุ้นที่น่าสนใจคือ CPAXT, CPN, COM7, HMPRO เช่นเดียวกับ กลุ่มการเงิน/ไฟแนนซ์ โดยได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัว หนุนความต้องการสินเชื่อและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ KTC, MTC

ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีกลุ่มหุ้น Defensive และ Dividend Play เนื่องจากในสภาวะที่ตลาดยังมีความผันผวนจากปัจจัยต่างประเทศ นักลงทุนควรพิจารณาหุ้นกลุ่ม Defensive และหุ้นที่มีความมั่นคงของกระแสเงินสด เช่น กลุ่มโรงพยาบาล (Healthcare) เป็นกลุ่มที่มีลักษณะ Defensive และทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจ (เช่น BDMS)

ถัดมาคือ กลุ่มสาธารณูปโภค/โรงไฟฟ้า (Utilities) ให้ผลตอบแทนเงินปันผลสม่ำเสมอ และได้รับอานิสงส์จากนโยบายสนับสนุนการลงทุน เช่น Direct PPA (เช่น GULF, BGRIM, GPSC) อีกกลุ่มคือ กองทุนอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน (REITs/IFFs) เป็นหุ้นที่มีลักษณะคล้าย "Bond-like" ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล/ค่าเช่าในระดับสูง

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมกลยุทธ์การลงทุนนักลงทุนควรเน้นการจัดพอร์ตแบบผสมผสาน (Core & Satellite) โดยมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศและหุ้นที่ให้ผลตอบแทนปันผลดีเป็นหลัก และสามารถเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่ม High Growth บางตัวที่ได้รับประโยชน์จากเมกะเทรนด์ เช่น AI และ Data Center ได้เมื่อราคาอ่อนตัว


กำลังโหลดความคิดเห็น