นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดงาน iBusiness Forum : Thailand Future Signal 2026 จับสัญญาณอนาคต ก้าวใหม่เศรษฐกิจไทย และปาฐกถาพิเศษ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ชง ครม.เศรษฐกิจ “คนละครึ่งพลัส” เฟส 1.5 จูงใจร้านค้าเรียนออนไลน์ หนุนอัปสกิลใช้ AI ทำบัญชี โดยหากร้านค้ามียอดขายของมากขึ้นจะเพิ่มเงินสนับสนุนให้ 10-20% จากยอดขายไม่เกิน 2,000 บาทต่อคน
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปฐกถาพิเศษในงาน iBusiness Forum : Thailand Future Signal 2026 จับสัญญาณอนาคต ก้าวใหม่เศรษฐกิจไทย ว่า ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลได้เร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้หลุดพ้นจาก”เศรษฐกิจติดหล่ม” โดยเป็นการร่วมมือกับภาคเอกชน จนเริ่มเห็นสัญญาณเศรษฐกิจใหม่เกิดขึ้นอย่างมาก โดยในเชิงธุรกิจสามารถก้าวได้เร็วขึ้น ขณะที่ในเชิงประเทศก็ต้องเตรียมความพร้อมที่จะเร่งผลักดันให้สัญญาณนี้ยังเป็นสัญญาณที่ดีอย่างต่อเนื่องต่อไป โดยเริ่มเห็นสัญญาณเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งเปรียบเสมือนชีพจรที่ถูกกระตุกขึ้นมาอีกครั้ง ผ่านโครงการสำคัญ อาทิ การเร่งคืนหนี้ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.), การเติมเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ, โครงการเที่ยวดีมีคืน, การเร่งเบิกจ่ายของส่วนราชการ และโครงการคนละครึ่ง พลัส ซึ่งทั้งหมดนี้ ถือเป็นเม็ดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจไปแล้วเกือบ 1 แสนล้านบาท และได้ช่วยให้บรรยากาศเศรษฐกิจทั่วประเทศเริ่มกระตุกขึ้นมา ซึ่งเป็นการดำเนินการโดยไม่ได้มีการกู้เงินใหม่ อันเป็นการสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลยังคงรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเข้มข้น
“สิ่งที่รัฐบาลเห็นในวันที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา คือ สัญญาณเศรษฐกิจที่แผ่วมาก เหมือนชีพจรที่เต้นเบาจนเกือบจะดับ เศรษฐกิจไทยเหมือนจะดิ่งเหว แม้จะยังไม่ถึงกับตกเหว แต่ก็ติดหล่ม เหลืออยู่อีกนิดเดียวก็จะตกเหว และจากการเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลทั้งหมดในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ช่วยให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2568 ที่จากเดิมคาดว่าจะโตได้ 0.3% เกือบจะดิ่งเหว ขยับขึ้นมาได้เป็น 1.1% นี่เป็นสัญญาณเศรษฐกิจแรกที่เห็น” รองนายกฯ และรมว.คลัง กล่าว
นายเอกนิติ กล่าวต่อไปว่า สัญญาณเศรษฐกิจที่ 2 ที่รัฐบาลเริ่มเห็น คือ การย้ายฐานการผลิต หลังจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งไทยและอาเซียนถูกจับตามองว่าเป็นประเทศที่เหมาะแก่การลงทุน ส่งผลให้ตัวเลขการเคลื่อนย้ายการลงทุนของไทยและอาเซียนในปีที่ผ่านมาเติบโตเป็นบวก สวนทางกับหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งสะท้อนจากยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนของต่างชาติ จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในช่วงที่ผ่านมาซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการ คิดเป็น 90% โดยโครงการเติบโตขึ้นเกือบ 30% ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมเกษตรสมัยใหม่ ดาต้าเซ็นเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ เซมิคอนดักซ์เตอร์ อีวี-ไฮบริด และเวลเนสเซ็นเตอร์ เป็นต้น แต่ต้องยอมรับว่ามีเม็ดเงินที่ขอรับการลงทุนค้างท่ออยู่ถึง 4.7 แสนล้านบาท
โดยประเด็นนี้ รัฐบาลให้ความสนใจเป็นอย่างมาก และเป็นอีกหนึ่งนโยบายที่ต้องเร่งปลดล็อก เพื่อผลักดันให้เม็ดเงินสามารถลงสู่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังติดปัญหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านกฎระเบียบ และข้อกฎหมายซึ่งยังเป็นอุปสรรค ดังนั้นจึงมีแนวคิดในการเดินหน้าโครงการ Fast Pass ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น เพื่อเร่งปลดล็อกให้เม็ดเงินที่ค้างท่อเข้าสู่ระบบได้เร็วขึ้น และจะมีอุตสาหกรรมใหม่ที่มาต่อยอดการเติบโตของเศรษฐกิจไทยต่อเนื่องไปจนถึงปี 2569
นอกจากนี้ การประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ หรือ ครม. เศรษฐกิจ(10 พ.ย.)จะมีการเสนอโครงการ “คนละครึ่งพลัส” เฟส 1.5 สำหรับการจูงใจฝั่งผู้ประกอบการร้านค้าทั้งนี้ จะไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การให้เงินสนับสนุนฝั่งผู้ใช้โดยตรง แต่จุดประสงค์หลักคือการ เพิ่มทักษะ (Upskill) ให้กับผู้ขายของหรือแม่ค้าในตลาด โดยตั้งเป้าหมายเพื่อให้พวกเขา เก่งขึ้น ในการประกอบการ
“คำว่า “พลัส” ในชื่อโครงการนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะโครงการคนละครึ่งไม่ได้มีจุดประสงค์แค่การฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะสั้นเท่านั้น แต่ต้องการให้โครงการ “ได้ผลยาว” ด้วยการทำให้พ่อค้าแม่ค้ามีความสามารถเพิ่มขึ้น โดยการเพิ่มทักษะภายใต้โครงการนี้จะครอบคลุมหลายด้านที่จำเป็นสำหรับการค้าในยุคดิจิทัล ทั้งการขายของออนไลน์ เน้นการเพิ่มทักษะให้แม่ค้าในตลาดสามารถขายของทางออนไลน์ได้เก่งขึ้น โดยจะมีหลักสูตรเฉพาะเพื่อให้ความรู้ว่า “ขายของยังไงให้ปัง”รวมทั้ง การจัดการบัญชี มีการสอนทำบัญชีแบบง่ายๆ รวมถึงการทำ บัญชีดิจิทัล เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุนผ่านการทำบัญชีได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการใช้เทคโนโลยีสนับสนุนการใช้ AI ในการประกอบการ เพื่อให้พวกเขามีทักษะในการใช้ AI เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมการพัฒนาทักษะ ทางโครงการจะนำ เงินส่วนที่เหลือบางส่วนจากโครงการคนละครึ่งในเฟสแรก ไปช่วยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการมาเพิ่มทักษะเหล่านี้ “รมต.คลัง กล่าว
นอกจากนี้ ยังมีการพิจารณามาตรการจูงใจเพิ่มเติม โดยหากร้านค้าสามารถขายของได้มากขึ้น ก็อาจจะมีการเพิ่มเงินสนับสนุนให้เป็นอัตรา 10-20% ไม่เกิน 2,000 บาทต่อคน ซึ่งที่ ผ่านมาโครงการ ‘คนละครึ่งพลัส’ จะเน้นการให้เงินกับฝั่งผู้ใช้ แต่ครั้งนี้จะเพิ่มส่วนของการพัฒนาทักษะให้กับฝั่งร้านค้า โดยส่งเสริมให้พ่อค้าแม่ค้าในตลาดสามารถขายของได้เก่งขึ้นทางออนไลน์ เพิ่มทักษะด้านการทำบัญชีดิจิทัล และการใช้เทคโนโลยีเอไอ (AI) ทั้งนี้ จะมีการนำเงินบางส่วนจากงบประมาณที่เหลือจากเฟสแรกมาสนับสนุนการเพิ่มทักษะดังกล่าว สำหรับแนวคิดของ “คนละครึ่งพลัส” คือ ไม่เพียงกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นเท่านั้น แต่ยังต้องการสร้างผลลัพธ์ระยะยาวด้วยการพัฒนาให้พ่อค้าแม่ค้าเก่งขึ้น มีหลักสูตรสอนขายของออนไลน์ การลดต้นทุนด้วยระบบบัญชี และการใช้เอไอช่วยดำเนินธุรกิจ


