“เอกนิติ” เผยวง ครม.เศรษฐกิจเห็นชอบ 3 มาตรการฟื้นท่องเที่ยว-เร่งใช้งบเหลื่อมปีคงค้างกว่า 3 แสนล้านบาทให้เสร็จในไตรมาส 2 และเร่งเบิกจ่ายงบภาครัฐปี 69 พร้อมตั้ง KPI หน.ส่วนราชการ ต้องเบิกจ่ายไม่ต่ำกว่าร้อยละ 93 งบลงทุน 75% ด้านนายกฯ ย้ำนโยบาย Quick Big Win กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว
วันที่ 15 ต.ค.นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจครั้งแรก ว่าที่ประชุมได้นำเสนอมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว คือ 1.ประชาชนทั่วไปจะให้ลดหย่อนภาษีได้ 20,000 บาท หักเดินทางไปท่องเที่ยว โดยจะเริ่มวันที่ 29 ตุลาคมถึงวันที่ 15 ธันวาคมนี้ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว แต่หากไปท่องเที่ยวเมืองรองจะสามารถหักลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า เช่น หากไปใช้จ่ายเมืองรอง 10,000 บาท สามารถมาหักลดหย่อนภาษีได้ 15,000 บาท เพื่อกระตุ้นให้เม็ดเงินกระจายไปยังเมืองรอง โดยจะนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้รับทราบต่อไป
นอกจากนี้ เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อจากประชาชน ได้มีข้อเสนอจากภาคเอกชนจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ที่เสนอว่านิติบุคคลสามารถกระตุ้นการท่องเที่ยวได้ เนื่องจากบริษัทใหญ่ ๆ ที่พาคนไปเที่ยวเมืองนอกจะได้หันกลับมาเที่ยวเมืองไทย ซึ่งเป็นข้อเสนออยากให้นิติบุคคลพาคนในบริษัทไปเที่ยวได้ด้วย ดังนั้นจะพิจารณาว่าจะหักค่าใช้จ่ายได้เท่าใด ก็ถือว่าเป็นข้อเสนอใหม่จากภาคเอกชน ขณะที่ ภาครัฐ ยังมีมาตรการกระตุ้นเรื่องการท่องเที่ยวเช่นเดียวกัน กล่าวคือ ภาครัฐมีงบประมาณอยู่แล้ว ซึ่งไม่ได้ใช้งบประมาณใหม่ โดยในส่วนของหน่วยงานราชการมีอยู่ประมาณ 3,000 กว่าล้านบาท รัฐวิสาหกิจมีประมาณ 3,000 กว่าล้านบาท และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีงบที่ตั้งไว้สำหรับอบรมสัมมนา ดังนั้นภาครัฐ ตามปกติจะจัดอบรมสัมมนาในไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ คือ ช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน แต่ยอดการท่องเที่ยวกำลังทรุดตัวลง ตัวเลขล่าสุดการท่องเที่ยว 8 เดือนที่ผ่านมา การใช้จ่ายในประเทศติดลบถึงร้อยละ 8 ดังนั้น จะต้องมีการฟื้นเศรษฐกิจไทย ฟื้นการท่องเที่ยวไทย จึงมีนโยบายเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุน ในลักษณะ Front -Loaded จากปกติจะใช้จ่ายในไตรมาสที่ 3 หรือไตรมาสที่ 4 ก็ให้มา Front -Loaded เบิกจ่ายงบประมาณตามกรอบเดิมต้องเบิกจ่ายให้ได้ภายในเดือนมกราคม 2569 ร้อยละ 60 ของงบฝึกอบรมสัมมนา ซึ่งตรงนี้จะเป็นการกระตุ้นดีมานด์ได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ยังมีแพ็กเกจท่องเที่ยวที่ได้กระตุ้นระยะสั้นไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการจับจ่ายใช้สอย เรื่องนี้ยังหวังผลในระยะยาวด้วย เนื่องจากรัฐบาลจะมีมาตรการให้โรงแรม หรือที่พักในเมืองรองที่ต้องการปรับปรุงโรงแรมให้น่าอยู่และดึงดูดนักท่องเที่ยว ดังนั้นโรงแรมในเมืองรองต่างๆ จะได้ค่าใช้จ่ายหักภาษีได้ถึง 2 เท่า เพื่อนำมาลงทุนพัฒนาโรงแรม ขณะเดียวกัน ยังมีข้อเสนอเพิ่มเติมจากกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงมหาดไทย ว่าไม่ใช่แค่การปรับปรุงโรงแรมอย่างเดียว อยากให้เกิดความยั่งยืนด้วย เช่น การติดโซล่าร์เซลล์ เพื่อลดค่าใช้จ่ายโรงแรม และความยั่งยืนสีเขียวในระยะยาว ขณะเดียวกันจะมีในเรื่องของบ่อบำบัดน้ำเสีย เพื่อให้แต่ละโรงแรมมีขีดความสามารถในการแข่งขัน และมีโรงแรมที่ใหม่ขึ้น คำนึงถึงความยั่งยืนในระยะยาว มีพลังงานสะอาดใช้ และมีการบำบัดน้ำเสีย
นายเอกนิติ ยังกล่าวอีกว่า ที่ประชุมโดยกระทรวงการคลัง และกรมสรรพาสามิต ได้มีการพูดถึงการลดภาษีของสถานบริการต่างๆ ในช่วงนี้ จากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 5 โดยจะประสานกับกระทรวงมหาดไทย เนื่องจากสถานบริการของกระทรวงมหาดไทย และกรมสรรพสามิตยังไม่เชื่อมโยงกัน ดังนั้นจะร่วมมือกันพิจารณาขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการที่ยังไม่ถูกต้อง และไม่ได้สิทธิประโยชน์เหล่านี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ไปพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร เพื่อให้เข้าระบบอย่างถูกต้อง โดยไม่ต้องมาแอบเปิด เพื่อจะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีด้วย ทั้งหมดนี้จะเป็นการกระตุ้นเกิดการค้าต่างๆ ให้เป็นไปอย่างคึกคัก รวมเป็นมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว เป็นแพ็จเกจที่จะเกิดขึ้น และใช้ได้จนถึงเดือนมีนาคม 2569
นายเอกนิติ ยังระบุว่า ที่ประชุมยังได้พิจารณาเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ซึ่งไม่ได้ใช้งบประมาณใหม่ อยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง ซึ่งปีที่ผ่านมา อธิบดีกรมบัญชีกลางได้รายงานว่า ผลการเบิกจ่ายปีงบประมาณ 2568 ปรากฏว่ามีงบเบิกจ่ายที่เบิกไม่หมด และขอกันเหลื่อมปีสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 300,000 กว่าล้านบาท ซึ่งมีการเบิกช้ากว่าปกติ เช่น ปกติงบลงทุนเบิกได้ถึงกว่าร้อยละ 70 แต่ปีที่แล้วเบิกได้เพียงร้อยละ 60 เท่านั้น ซึ่งหมายความว่าประสิทธิภาพการเบิกจ่ายปีที่แล้วไม่ดี แต่ข้อดีอย่างหนึ่งคือมีเหลื่อมมาใช้ในปีนี้ ก็จะทำให้มีเงินเหลือจากปีที่แล้วมาใช้ในปีงบประมาณ2569 นี้ ดังนั้นจะเร่งประสิทธิภาพการเบิกจ่าย โดยกำหนดว่าใครที่ของบประมาณเหลื่อมจ่ายเข้ามา และมีทีโออาร์เรียบร้อย ต้องให้เบิกจ่ายให้เสร็จภายในไตรมาส 2 ของปี 2569 นี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพช่วยเอาเงินเก่าที่ไม่มีประสิทธิภาพมาฟื้นเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันงบปี 2569 ของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจมีจำนวนมาก ซึ่งงบประมาณของหน่วยงานที่อนุมัติไปแล้วมีถึง 3.78 ล้านล้านบาท จึงมีการตั้งเป้าและกำหนดการเบิกจ่ายเป็นตัวชี้วัด หรือ KPI ให้หัวหน้าหน่วยราชการ ปีนี้จะต้องเบิกจ่ายได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 93 ของทั้งปีงบประมาณ และงบลงทุนที่เป็นตัวสำคัญในการฟื้นเศรษฐกิจระยะยาว ต้องเบิกจ่ายไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75
นอกจากนี้ เลขาธิการสภาพัฒน์ฯ นอกจากจะมีตัวชี้วัดแล้ว ต้องติดตามหน่วยงานราชการเป็นรายเดือน เพื่อจะได้อัพเดทข้อมูลและรายงานให้นายกรัฐมนตรีได้รับทราบ โดยเฉพาะหัวหน้าหน่วยไหนที่เบิกจ่ายล่าช้า ซึ่งนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญในเรื่องนี้ เช่น กระทรวงมหาดไทย ที่นายกรัฐมนตรีดูแลอยู่ก็พบปัญหา รวมถึงกระทรวงคมนาคมที่มีการเบิกจ่ายล่าช้า
นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ ยังได้พูดคุยถึงแผนงานการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ ภายหลังจากนายกรัฐมนตรีให้กรอบการทำงานไปแล้ว โดยทุกคนต้องมี Quick Big Win เนื่องจากมีเวลาจำกัด เพราะจะมีการประกาศยุบสภาในเดือนมกราคม เมื่อมีเวลาจำกัดก็จะมีแผนออกมาทุกเดือน โดยจะให้กระทรวงเศรษฐกิจที่มีนโยบาย Quick Big Win โดยจะต้องให้ทำสั้น ได้ผลยาว และกระจายตัวให้ทั่วถึง และจะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจในทุกสัปดาห์