รมว.คลัง ชี้เศรษฐกิจไทยใกล้ดิ่งเหว! เปรียบรถ 4 สูบดับไปแล้ว 3 เหลือแค่รัฐประคองสูบสุดท้าย ลั่นไม่เร่งอัดฉีด จะไม่ใช่แค่ติดหล่ม แต่จะร่วงเหว เสียหายยับเยินกู้ไม่ขึ้น ประกาศ 5 เสาหลัก “Quick Win” อัดยาแรง 4 เดือน กระตุ้นสั้น–ได้ยาว หวังฉุดประเทศพ้นวิกฤต
วันนี้ (30ก.ย.) นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวชี้แจงต่อรัฐสภา ถึงแนวคิดวางนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ว่าหากเปรียบเศรษฐกิจไทยเหมือนรถยนต์ 4สูบ ในปีนี้จะเห็นว่ารถยนต์ของเรากำลัง“วิ่งลงเหว” โดยสูบที่ใหญ่ที่สุด คือการส่งออก ก่อนที่จะมีการขึ้นภาษีทรัมป์ ทุกคนเร่งผลิตเพื่อส่งออกทำให้ไตรมาส1 และไตรมาส2 ตัวเลขยังขยายตัวได้ดี คือไตรมาส1 ขยายตัว 3.2% ไตรมาส 2 อยู่ที่ 2.8% แต่ช่วงหลังก็จะลดลงเพราะโดนขึ้นภาษีไปแล้ว ดังนั้นเครื่องยนต์ก็จะแผ่วลงโดยในไตรมาส3 และไตรมาส 4 เราเห็นว่าส่งออกที่ครึ่งปีแรกโตประมาณ 15% แต่เดือนกรกฎาคมโตไม่กี่ % ดังนั้นเครื่องยนต์นี้ก็จะค่อยๆดับ
ส่วนลูกสูบที่2 คือ การบริโภคของภาคเอกชนวันนี้ดัชนีของธนาคารแห่งประเทศไทยในเดือนก.ค.ติดลบเป็นครั้งแรกในรอบปี ทั้งปัญหาจากความเชื่อมั่น หนี้ครัวเรือนที่สะสมมานาน คนไม่มีรายได้ ความจริงดับแล้วด้วยเพราะติดลบ
ลูกสูบที่3 คือการลงทุนภาคเอกชน ทุกวันนี้การผลิตของประเทศอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ไม่ถึง 60% ยังไม่ต้องคิดว่าจะไปลงทุนอะไรเพิ่ม ดังนั้นเครื่องยนต์นี้ก็เตรียมดับอีกเช่นกัน
ดังนั้นตอนนี้เราเหลือลูกสูบที่4 ซึ่งเป็นลูกสูบสุดท้ายคือการใช้จ่ายรัฐบาล ถึงแม้จะตัวเล็กแต่เป็นเครื่องยนต์เดียวที่เรามีอยู่ วันนี้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 จะมีการประกาศตัวเลขจริงในเร็วๆ นี้ แต่จากการคาดการณ์ของ 3 หน่วยงานเศรษฐกิจภาครัฐ ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาส3 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.7% และในไตรมาส4 จะลดลงเหลือเพียง 0.3% ซึ่งบ่งชี้ว่าใกล้จะติดลบมาก แต่เป้าหมายที่ชัดเจนของรัฐบาลนี้ คือการทำให้จีดีพีไตรมาส 4 ดีกว่าที่คาดการณ์ 0.3% ลดหนี้ครัวเรือนลงจาก 87.4% ให้อยู่ต่ำกว่า 87% และเพิ่มสภาพคล่อง รวมถึงเม็ดเงินลงทุนจริงจาก BOI ซึ่งการดำเนินงานทั้งหมดนี้ จะช่วยให้รถยนต์เศรษฐกิจไทยฟื้นจากหล่มได้ในระยะสั้น และเพิ่มขีดความสามารถในระยะยาว
“แม้หลายคนจะมีคำถามว่ารัฐบาลจะทำอย่างไร เราจะเร่งใช้กระตุ้นเศรษฐกิจให้เสียวินัยการคลังหรือไม่ หรือจะใช้เงินทั้งหมดเลยหรือไม่ ผมก็นึกถึงเรื่องนี้ตลอด แต่ตอนนี้มันเป็นเครื่องยนต์เดียวที่มีอยู่ที่จะช่วยให้เราพ้นจากหล่มเศรษฐกิจ และถ้าไม่ใช้อยู่เฉยๆ มันจะไม่แค่ติดหล่ม แต่จะดิ่งลงเหวเลย เหมือนรถยนต์ตกเหว ความเสียหายจะเกิดขึ้นมากมาย เราจะแก้ยากขึ้นอีก แนวนโยบายรัฐบาลที่เขียนตอนนั้นเราเขียนเพราะมันเป็นแค่แนวทาง เรายังเริ่มทำงานไม่ได้
นายเอกนิติ กล่าวว่า รัฐบาลได้สรุปแนวทางแก้ไขปัญหาโดยใช้หลักคิด "กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว" โดยมีกรอบเวลา 4 เดือน เพื่อเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาวและกระจายประโยชน์ไปยังทุกพื้นที่ รวมถึงดูแลผู้ประกอบการรายย่อย และปากท้องประชาชน นโยบายนี้เรียกว่า "Quick Win" ซึ่งต้องทำ "สั้น" (Quick) "ใหญ่" (Big) พอที่จะดันเศรษฐกิจ และให้ประชาชนได้รับ "ประโยชน์" (Win) โดยการแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจแบ่งออกเป็น 5 เสาหลัก ได้แก่
เสาหลักที่ 1 การกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวคนละครึ่งพลัส นโยบายนี้ใช้หลักการกระตุ้นสั้น ได้ยาว และกระจายตัว เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพ ซึ่งในสัปดาห์หน้าหน้าจะเสนอครม. ให้ประชาชนสามารถใช้จ่ายได้ 200 บาท/วัน จากเดิมวันละ ใช้ทันต.ค.นี้แน่นอน บาท และโครงการนี้จะเน้นให้ความช่วยเหลือแก่พ่อค้าแม่ค้ารายเล็ก รายย่อย หาบเร่ แผงลอย และแท็กซี่ เพื่อให้เกิดการกระจายตัวนอกจากนี้ ในคำว่า พลัส เพื่อผลยาว โดยผู้เสียภาษีที่อยู่ในระบบจะได้รับเงิน 2,400 บาท เพื่อจูงใจให้ประชาชนเข้าระบบภาษี หวังว่าระยะต่อไป ประชาชนจะเข้าระบบมากขึ้น ขณะเดียวกัน จะมีการเพิ่มทักษะ (Skill) ให้แก่พ่อค้าแม่ค้าในการขายของออนไลน์ (E-commerce) รวมถึงการทำบัญชีดิจิทัล ซึ่งจะเชื่อมโยงกับการพิจารณาปล่อยสินเชื่อจากธนาคาร
ทั้งนี้ ในการเดินหน้าโครงการดังกล่าว รัฐบาลให้ความสำคัญกับวินัยการคลัง ซึ่งไม่ได้มีการใช้เม็ดเงินใหม่ แต่ใช้กรอบงบประมาณเดิมที่ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลชุดที่แล้ว งบกระตุ้น 25,000 ล้านบาท และงบกลาง 19,000 ล้านบาท รวม 44,000 ล้านบาท โดยไม่ได้มีการกู้เพิ่ม ขณะที่ในภาคการท่องเที่ยว จะกระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรอง โดยให้สิทธิหักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า สำหรับการพัฒนาปรับปรุงโรงแรมในเมืองรอง ซึ่งนโยบายนี้สูญเสียรายได้ภาษีเพียง 300 ล้านบาท
เสาหลักที่ 2 การแก้ไขหนี้ภาคประชาชนการบริหารหนี้เสีย (NPL) จะนำเงินในกองทุนฟื้นฟู ซึ่งมาจากธนาคารพาณิชย์ส่งเงินสมทบเข้ากองทุน โดยมีวงเงินเหลือออยู่ประมาณ 26,000 ล้านบาท มาตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ เพื่อซื้อหนี้ NPL ของประชาชนออกมาปรับโครงสร้าง
“การปรับโครงสร้างหนี้ จะเป็นการยืดหนี้ ลดดอกเบี้ย และลดภาระการผ่อนต่อเดือนลง เช่น เหลือ 500 บาทเพื่อให้ประชาชนมีสภาพคล่องที่ดีขึ้น และจะมีสินเชื่อเพื่อคนตัวเล็กตัวน้อย ผ่านอารีย์สกอร์ ให้เข้าถึงสินเชื่อในระบบ ไม่ต้องพึ่งพานอกระบบ”
เสาหลักที่ 3 การดูแลผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และสภาพคล่องจะใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาค้ำประกันสินเชื่อ โดยเตรียมวงเงินไว้ขั้นต่ำ 50,000 ล้านบาท และมีห่วงโซ่อุปทาน Supply Chain Financing ส่งเสริมโครงการ "พี่ช่วยน้อง" โดยให้รายใหญ่ช่วยรายย่อยในห่วงโซ่อุปทาน และสามารถนำค่าใช้จ่ายมาหักลดหย่อนภาษีได้ นอกจากนี้ ธนาคารจะให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เอสเอ็มอี ที่มีกำหนดได้รับเงินจากโครงการภาครัฐ ซึ่งลดความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อ ส่วนด้านภาคการคลังนั้น จะภาษีเร่งรัดการคืนภาษีของกรมสรรพากรทันที ซึ่งมีเม็ดเงินอยู่ในมือถึง 160,000 ล้านบาท เพื่ออัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบและเอสเอ็มอี อย่างรวดเร็ว
เสาหลักที่ 4 การเพิ่มการออมภาคประชาชน สลากออมทรัพย์ เรียนว่าคนละอันกับหวยเกษียณ นโยบายนี้เป็นส่งเสริมการออมโดยเชื่อมโยงกับการซื้อสลากกิน ทุกงวดที่ออกมาจะมีบัญชีทางออนไลน์ โดยแบ่งสัดส่วนเงินส่วนหนึ่งเป็นเงินออมที่ต้องถือไว้ 5 ปี หรือจนถึงอายุ 55 ปี ซึ่งจะใช้เงินจากค่าการตลาดของสำนักงานสลากฯ นอกจากนี้จะสนับสนุนให้ประชาชนรายย่อยเข้าถึงพันธบัตรออมทรัพย์รัฐบาลได้ทุกเดือน เพื่อให้ประชาชนได้รับดอกเบี้ยที่สูงกว่าการฝากเงินทั่วไป ปัจจุบันพันธบัตร 10 ปี มีอัตราดอกเบี้ยประมาณ 1.4%
เสาหลักที่ 5 การเพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี
เนื่องจากเครื่องยนต์ประเทศยังเป็นเครื่องจักรเก่า จึงต้องเพิ่มทักษะ (Skill) และสร้างอุตสาหกรรมใหม่ (เกษตรชีวภาพ, Smart Farming, ดิจิทัล, AI, Data Center, รถยนต์ EV และได้จับมือกับสถาบันการศึกษา เช่น สถาบันเทคนิคไทย-เยอรมัน เพื่อฝึกอบรมแรงงานให้ตรงกับความต้องการของตลาด โดย BOI มีเงินสำหรับเพิ่มขีดความสามารถอยู่ 10,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน จะปลดล็อก BOI ด้วย "Fast Pass" เร่งรัดการอนุมัติโครงการลงทุนที่ได้รับอนุมัติจาก BOI ไปแล้ว แต่ยังไม่ได้เริ่มโครงการ ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 470,000 ล้านบาท จะมีการใช้ระบบนี้เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องอนุมัติภายในเวลาที่กำหนด เพื่อดึงเม็ดเงินเหล่านี้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจภายใน 4 เดือน โดยไม่ต้องใช้เงินใหม่
ส่วนด้านการค้าและพลังงาน รัฐมนตรีพาณิชย์จะดำเนินการเรื่องการขยายตลาดส่งออกใหม่และการป้องกันการทุ่มตลาด ขณะที่รัฐมนตรีพลังงานจะเดินหน้าเรื่องพลังงานสะอาด
“5 เสาหลักนี้จะอยู่ไม่ได้หากไม่มีฐานรากที่เข้มแข็ง คือ การรักษาเสถียรภาพการคลัง ซึ่งเราจะเน้นหลักการสำคัญ คือ วินัย ซึ่งจะจัดทำกรอบวินัยทางการคลังระยะปานกลางในเดือนพฤศจิกายน โปร่งใส โดยจะเปิดเผยข้อมูลมากขึ้นและธรรมาภิบาล เพื่อสร้างความมั่นใจต่อสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ “นายเอกนิติกล่าว