xs
xsm
sm
md
lg

ฟินเทค-คริปโตผนึกกำลังสวนธนาคาร จุดชนวนสงคราม “Open Banking” เดือด!! เขย่าระบบการเงินสหรัฐฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สมาคมบล็อกเชน-ฟินเทคสหรัฐฯ รวมพลังจี้หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคเร่งออกกฎ “Open Banking” ฉบับเข้ม เพื่อยืนยันสิทธิประชาชนถือครองข้อมูลการเงินของตนเอง ท่ามกลางแรงต้านจากธนาคารใหญ่ที่หวั่นสูญอำนาจผูกขาดข้อมูล

อุตสาหกรรมคริปโต - ฟินเทครวมตัว จี้ CFPB ปกป้องสิทธิข้อมูลผู้บริโภค

กลุ่มพันธมิตรภาคอุตสาหกรรมคริปโตและฟินเทคสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์กดดันสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคทางการเงิน (CFPB) ให้เร่งออกกฎ “Open Banking” เพื่อรับรองสิทธิของประชาชนในการควบคุมและแชร์ข้อมูลการเงินของตนเองกับบุคคลที่สามได้อย่างเสรี ไม่ถูกผูกขาดโดยธนาคารใหญ่

จดหมายดังกล่าวที่เผยแพร่ผ่าน Cointelegraph ซึ่งมีลายเซ็นจากองค์กรคริปโตชั้นนำอย่าง Blockchain Association และ Crypto Council for Innovation รวมถึงสมาคมฟินเทคและภาคธุรกิจค้าปลีก เช่น Financial Technology Association และ American Fintech Council ที่ต่างเรียกร้องให้ CFPB ปกป้องสิทธิผู้บริโภคในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล

สาระสำคัญของจดหมายคือการตอบสนองต่อการทบทวน “Personal Financial Data Rights Rule” ภายใต้ Section 1033 ของกฎหมาย Dodd-Frank Act ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดมาตรฐานการแบ่งปันข้อมูลการเงินของผู้บริโภคกับผู้ให้บริการทางการเงินภายนอก

จดหมายแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการค้าร่วม ที่มา: สมาคมเทคโนโลยีการเงิน
แกนหลักของข้อเรียกร้อง “ข้อมูลการเงินเป็นของประชาชน ไม่ใช่ของธนาคาร”

กลุ่มพันธมิตรชี้ว่า ผู้บริโภคชาวอเมริกันควรมีสิทธิควบคุมข้อมูลของตนเองและสามารถแบ่งปันกับแพลตฟอร์มทางการเงินที่ได้รับอนุญาตได้โดยอิสระ ไม่จำกัดเฉพาะผู้รับฝากทรัพย์สินทางการเงินแบบดั้งเดิม อีกทั้งเรียกร้องให้ CFPB คงข้อห้าม “ค่าธรรมเนียมการเข้าถึงข้อมูล (data access fees)” เพื่อรักษาความเป็นธรรมของตลาดแข่งขันเสรี

กฎ “Open Banking” ฉบับนี้มีจุดเริ่มต้นจากยุคประธานาธิบดี โจ ไบเดน ในปี 2565 และเพิ่งได้รับการอนุมัติในวันที่ 22 ตุลาคม 2567 โดยมีเป้าหมายสร้างระบบการเงินที่ผู้บริโภคสามารถเชื่อมต่อข้อมูลกับแอปพลิเคชันภายนอกได้อย่างปลอดภัยผ่าน API ซึ่งจะเป็นสะพานเชื่อมสำคัญระหว่างระบบการเงินดั้งเดิมกับโลกของ DeFi , Crypto On-Ramps และธนาคารดิจิทัล

จดหมายยังระบุว่า ปัจจุบันมีชาวอเมริกันกว่า 100 ล้านคน ที่ใช้โครงสร้าง Open Banking เพื่อเข้าถึงแพลตฟอร์มการลงทุน กระเป๋าเงินคริปโต และแอปชำระเงินดิจิทัล ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่

แต่พันธมิตรเตือนว่า “สิทธิเหล่านี้กำลังถูกโจมตี” จากธนาคารยักษ์ใหญ่ที่พยายามล้มเลิกหรือบิดเบือนหลักการ Open Banking เพื่อรักษาอำนาจผูกขาดตลาด

การนำ Open Banking มาใช้ทั่วโลก ที่มา: “ รายงานสถานะ Open Banking และ Open Finance ทั่วโลก ” ปี 2567
ธนาคารใหญ่เปิดศึก โต้กลับ “Open Banking”

แม้ Open Banking จะเป็นแนวคิดที่ใช้ได้ผลแล้วใน สหภาพยุโรป, สหราชอาณาจักร , บราซิล และอีกหลายประเทศ แต่ธนาคารยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ กลับออกมาต่อต้านอย่างแข็งกร้าว

ในวันเดียวกับที่กฎฉบับใหม่ได้รับการอนุมัติเมื่อเดือนตุลาคม 2567 Bank Policy Institute (BPI) ซึ่งเป็นตัวแทนของธนาคารรายใหญ่ เช่น Wells Fargo , Bank of America และ JPMorgan Chase ได้ยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อระงับการบังคับใช้ โดยอ้างว่ากฎนี้ “เสี่ยงต่อความปลอดภัยของข้อมูล” และ “เพิ่มภาระต่อผู้ให้บริการดั้งเดิม”

ต่อมาเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม รายงานจาก Bloomberg เผยว่า JPMorgan มีแผนเก็บค่าธรรมเนียมจากบริษัทฟินเทคที่ขอเข้าถึงข้อมูลลูกค้า ซึ่งถูกมองว่าเป็นการท้าทายเจตนารมณ์ของ Open Banking โดยตรง

คริปโต - ฟินเทคเดินเกมกดดัน “วอชิงตัน” ให้เร่งเคลื่อนไหว

จดหมายล่าสุดที่ส่งถึง CFPB ถือเป็นการต่อยอดจากหนังสืออีกฉบับที่กลุ่มพันธมิตรส่งถึงประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม เพื่อประณามธนาคารสหรัฐฯ ว่ากำลังขัดขวางนวัตกรรมทางการเงินด้วยการฟ้องร้องเพื่อหน่วงเวลาการปฏิรูปและเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ให้บริการฟินเทคและคริปโต

ต่อมาในวันที่ 14 สิงหาคม ผู้บริหารกว่า 80 คนจากแวดวงคริปโตและฟินเทคลงนามในจดหมายเปิดผนึกถึงทำเนียบขาว เรียกร้องให้ประธานาธิบดีสกัดกั้นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเหล่านี้

หนึ่งในเสียงที่ดังที่สุดคือ Tyler Winklevoss ผู้ร่วมก่อตั้ง Gemini Exchange ที่โพสต์ข้อความบน X (Twitter เดิม) ว่า “ธนาคารต้องการล้มล้างกฎ Open Banking (มาตรา 1033) เพื่อเก็บภาษีและควบคุมข้อมูลการเงินของคุณ นี่คือการจำกัดเสรีภาพและนวัตกรรมทางการเงินของอเมริกาอย่างแท้จริง”

ทั้งนี้ วันพรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่สาธารณชนสามารถยื่นจดหมายความคิดเห็นต่อ CFPB เกี่ยวกับร่างกฎ Open Banking ได้ ก่อนที่หน่วยงานจะพิจารณาสรุปผลขั้นสุดท้ายในไตรมาสหน้า

ที่มา: ไทเลอร์ วิงเคิลวอสส์
เส้นแบ่งระหว่าง “สิทธิผู้บริโภค” กับ “อำนาจธนาคาร”

การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ความขัดแย้งระหว่างธนาคารกับบริษัทเทคโนโลยีการเงิน แต่เป็นสงครามแห่ง “ข้อมูล” ที่จะกำหนดอนาคตของระบบเศรษฐกิจดิจิทัลสหรัฐฯ ว่าใครจะเป็นเจ้าของข้อมูลทางการเงิน ระหว่างผู้บริโภค หรือสถาบันการเงิน

ในขณะที่ยุโรปและเกาหลีใต้ก้าวหน้าในระบบ Open Banking และ DeFi ที่โปร่งใส สหรัฐฯ กลับยังติดอยู่ในความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มทุนเก่าและเทคโนโลยีใหม่ หากสหรัฐฯ ล่าช้าในการบังคับใช้กฎนี้ อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในเศรษฐกิจการเงินดิจิทัลโลก

สงคราม “Open Banking” จึงไม่ใช่เพียงศึกระหว่างธนาคารกับฟินเทค แต่คือศึกเพื่อชิง “อำนาจในการถือครองข้อมูล” ซึ่งอาจเป็นสมรภูมิใหม่ของการเงินโลกในศตวรรษที่ 21.