การดิ่งของตลาดคริปโตครั้งล่าสุดไม่เพียงกวาดล้างพอร์ตนักลงทุนรายย่อย แต่ยังทำให้กระเป๋าเงินของ “ซาโตชิ นากาโมโตะ” ผู้สร้างบิทคอยน์สูญมูลค่ากว่า 20,000 ล้านดอลลาร์ แม้ยังถือครอง BTC กว่า 1 ล้านเหรียญ มูลค่ากว่า 117,500 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน ขณะนักวิเคราะห์ย้ำว่านี่คือ “แรงสั่นสะเทือนระยะสั้น” ที่ไม่กระทบต่อปัจจัยพื้นฐานของตลาด
ตลาดคริปโตทั่วโลกเผชิญแรงเทขายอย่างหนัก หลังราคาบิตคอยน์ (BTC) ร่วงจากระดับสูงสุดตลอดกาลกว่า 126,000 ดอลลาร์ เมื่อต้นเดือนตุลาคม สู่ระดับปัจจุบันที่ราว 117,500 ดอลลาร์ ตามข้อมูลจาก Arkham Intelligence ซึ่งประเมินว่าทรัพย์สินของ “ซาโตชิ นากาโมโตะ” ผู้สร้าง Bitcoin สูญมูลค่าไปกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์ จากจุดสูงสุด
ซาโตชิถือครองบิทคอยน์กว่า 1 ล้าน BTC ซึ่งถือเป็นพอร์ตคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยช่วงต้นเดือนตุลาคม มูลค่าทรัพย์สินของเขาเคยพุ่งแตะกว่า 136,000 ล้านดอลลาร์ ก่อนตลาดจะร่วงลงอย่างรุนแรงเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม สืบเนื่องจากแรงเทขายในตลาดฟิวเจอร์สแบบ perpetual ที่เกิดขึ้นเป็นลูกโซ่หลังจากโพสต์ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งส่งสัญญาณเพิ่มภาษีนำเข้าจากจีน จุดชนวนความหวั่นวิตกเรื่องสงครามการค้ารอบใหม่
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดการล้างพอร์ตมูลค่ากว่า 20,000 ล้านดอลลาร์ ภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นการล้างพอร์ตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดคริปโต และทำให้เหรียญทางเลือก (altcoins) หลายสกุลทรุดหนักกว่า 99% อย่างไรก็ตาม บิทคอยน์ยังคงยืนเหนือระดับ 100,000 ดอลลาร์ ได้อย่างน่าประทับใจ สะท้อนแรงศรัทธาในฐานะสินทรัพย์หลักของตลาด
“ซาโตชิ” ขาดทุนบนกระดาษ แต่ศรัทธาในบิทคอยน์ยังไม่สั่นคลอน
แม้มูลค่าทรัพย์สินของซาโตชิจะลดลงอย่างหนัก แต่นักวิเคราะห์มองว่านี่เป็นเพียง “แรงสะเทือนชั่วคราว” ไม่ได้บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของตลาดหรือปัจจัยพื้นฐานของบิทคอยน์
ทีมวิเคราะห์จาก The Kobeissi Letter ระบุว่า “การร่วงของตลาดคริปโตในวันที่ 8 ตุลาคม เป็นเพียงการปรับฐานระยะสั้น และไม่มีผลกระทบต่อพื้นฐานระยะยาวของสินทรัพย์ดิจิทัล” พร้อมย้ำว่า “เรามองว่าข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะเกิดขึ้นได้ในที่สุด และตลาดคริปโตยังคงแข็งแกร่งในภาพรวม เราเชื่อมั่นในแนวโน้มขาขึ้น”
ก่อนหน้านี้ The Kobeissi Letter เคยชี้ว่า ราคาบิทคอยน์ที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ในเดือนตุลาคมเกิดขึ้นพร้อมกับการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐในรอบกว่า 50 ปี ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงมหภาค (macroeconomic shift) ครั้งสำคัญของระบบการเงินโลก
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังชี้ว่า ราคาของสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้นและคริปโต ได้เพิ่มขึ้นพร้อมกับสินทรัพย์เก็บมูลค่าอย่างทองคำและบิทคอยน์ ซึ่งโดยปกติแล้วมักเคลื่อนไหวสวนทางกัน ปรากฏการณ์นี้บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของพฤติกรรมตลาด ที่นักลงทุนเริ่มมองบิตคอยน์ไม่ใช่เพียงสินทรัพย์เสี่ยง แต่เป็น “สินทรัพย์เก็บมูลค่าแห่งศตวรรษใหม่”
ตลาดคริปโตเกาหลีใต้สะท้อนแรงสั่นสะเทือน แต่ยังเชื่อมั่นในแนวโน้มระยะยาว
ผลกระทบจากการปรับฐานของตลาดโลกได้ส่งแรงกระเพื่อมมาถึงเอเชีย โดยเฉพาะใน เกาหลีใต้ ซึ่งถือเป็นตลาดคริปโตที่มีสภาพคล่องและการเก็งกำไรสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สกุลเงินดิจิทัลหลักอย่าง Bitcoin, Ethereum และ Solana ต่างร่วงลงแรงในตลาด Upbit และ Bithumb แต่ปริมาณการซื้อขายกลับเพิ่มขึ้นกว่า 25% สะท้อนแรงเข้าซื้อจากนักลงทุนสถาบันและรายใหญ่ที่มองเห็นโอกาสสะสมในจังหวะย่อ
นักวิเคราะห์จาก Bithumb Economic Research ประเมินว่า “แรงเทขายในตลาดโลกครั้งนี้ แม้จะสร้างความผันผวนในระยะสั้น แต่ยังไม่เปลี่ยนทิศทางการเติบโตระยะยาวของคริปโต” โดยเฉพาะในเกาหลีใต้ที่กำลังเดินหน้าสร้างกรอบกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเป็นระบบ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุนในอนาคต
จากแรงเทขายสู่บททดสอบศรัทธาใน “สินทรัพย์แห่งอนาคต”
ทั้งนี้แม้พอร์ตของ “ซาโตชิ นากาโมโตะ” จะหดตัวลงกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์ แต่ความเชื่อมั่นในบิทคอยน์ยังคงไม่สั่นคลอน การร่วงของตลาดครั้งนี้อาจเป็นเพียง “ลมหายใจพักตัว” ของวัฏจักรขาขึ้นที่ยาวนานกว่า ท่ามกลางโลกการเงินที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากระบบดั้งเดิมสู่ยุคสินทรัพย์ดิจิทัลเต็มตัว บิทคอยน์ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านระบบเก่า และเป็นศูนย์กลางของการถกเถียงในโลกเศรษฐกิจยุคใหม่ว่ามันคือ “ฟองสบู่ที่ไม่มีวันแตก” หรือ “ทองคำดิจิทัล” แห่งศตวรรษที่ 21.