นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีเอกซ์ กล่าวในงานสัมมนา Thailand Economic Outlook 2026 : Out of The Trap ในหัวข้อ "ปฏิรูปโครงสร้าง ทางรอดเศรษฐกิจโตยั่งยืนว่า ประเทศไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้างมาอย่างยาวนาน และโดนซ้ำเติมด้วยสถานการณ์โควิด -19 ที่สร้างแผลเป็นขนาดใหญ่ส่งผลกระทบทั้งภาคธุรกิจ ,หนี้ครัวเรือนสูงเรื้อรัง ,หนี้สาธารณะที่สูงจากการใช้นโยบายระยะสั้นเยียวยา - กระตุ้นเศรษฐกิจ และอยู่ในภาวะเศรษฐกิจโตต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านคือประมาณ 2% และมีหนี้สูงทั้งภาครัฐและครัวเรือน
ทั้งนี้ มองว่าสถานการณ์ของเราตอนนี้น่ากังวล น่าจะเรียกว่าวิกฤติด้วยซ้ำ โดยมีปัญหาหลักใน 3 เรื่อง ก็คือหนี้สาธารณะที่ใกล้จะชนเพดาน ประเมินว่าในปี 70 ก็จะแตะเพดาน 70%โดยไม่ได้มีการกู้เพิ่ม อีกเรื่องคือ การสูญเสียความสามารถในการแข่งขันทั้งมิติเอกชน เอสเอ็มอี ภาคการลงทุนต่ำมากทั้งภาครัฐ เอกชน และต่างประเทศ และที่สำคัญเรากำลังสูญเสียความเชื่อมั่นว่าจะสามารถไปต่อได้ หรือสามารถกลับมาแข็งแกร่งได้ จากที่ประเทศไทยขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 6-8 สูบ แต่ตอนนี้มีอยู่แค่ 2 สูบ ปัญหาคือจะทำอย่างไรให้กลับมาเดิน 6-8 สูบ ซึ่งเรื่องของความเชื่อมั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญเรื่้องหนึ่งคือ จะทำอย่างไรให้เกิดความเชื่อมั่นเครื่้องยนต์จะได้ติด ความมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย ซึ่งจะทำให้มีความเชื่อมั่นว่าทำให้เกิดได้จริง อีกประเด็นที่สำคัญคือการปฏิรูปเรื่องงบประมาณของประเทศให้สมดุล ลดรายจ่ายประจำ เพิ่มงบลงทุน ต้องกล้าที่จะเผชิญปัญหาที่แท้จริงแล้วพยายามออกจากกับดักให้ได้
"ฝากรัฐบาลว่าในภาคเอกชนมีความพร้อมที่จะช่วยขับเคลื่อนหากมีความเชื่อมั่น ซึ่งจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้เพียงคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องประกอบกันทุกภาคส่วน ภาครัฐสร้างความเชื่อมั่้น สื่อสารให้ชัดเจน มีความสามัคคี-ต่อเนื่อง จริงจัง เมื่อมีความมั่นใจแบงก์พร้อมปล่อยกู้ เอกชนพร้อมลงทุน ก็เชื่อว่าเราจะสามารถกล้บมาแข็งแรงได้"
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทยธนชาต (ทีทีบี)กล่าวในหัวข้อ"แก้วิกฤติ 'กับดักหนี้' ทางรอดประเทศไทย" ว่า ต้นเหตุการเกิดหนี้ครัวเรือนที่สูงนั้นมาจากปัจจัยด้านรายได้ที่ลดลง/ทรงตัวในขณะที่ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ทำให้เกิดส่วนต่างจะจำเป็นต้องก่อหนี้มาอุด โดยมองว่าปัจจุบันคนไทยกำลังเจอกับ 3 กำแพง คือ 9%เจอกำแพงสังคมสูงวัย อีก 20%เจอกำแพงหนี้เสียคือติดเอ็นพีแอล และ 31%เจอกำแพงรายได้ไม่เพิ่ม ซึ่งทำให้เป็นปัญหาไปถึงรายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย หนี้เสีย ไปจนกระทบต่อการปล่อยสินเชื่อของธนาคารตั้งแต่สินเชื่อบุคคลลามไปถึงสินเชื่อที่มีหลักประกันทั้งรถ และบ้าน
สำหรับมาตรการ AMC แสนบาทที่ทางครม.อนุมัติออกมานั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากจากจำนวนผู้ที่เป็นหนี้เอ็นพีแอลนั้น 70%ไม่เกินแสนบาท แต่วงเงินรวมคิดเป็น 14%ของหนี้เอ็นพีแอลรวม ซึ่้งหมายความว่าเราใช้ทรัพยากรเงินจำนวนไม่มากเพื่อแก้หนี้ให้คนถึง 70%ของคนที่เป็นหนี้เสีย แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องมีแนวทางที่จะแก้อย่างยั่งยืนไม่ใช่แก้แบบ Callecting แต่เป็นการแก้อย่าง Reinvent ซึ่งจะทำได้ต้องติดกระดุมเม็ดแรกให้ถูกต้อง โดยต้องมีข้อมูลหนี้ที่สมบูรณ์และเป็นภาคบังคับจากทุกสถาบันการเงินที่มีการปล่อยกู้ เพิ่มนำมาถึงส่วนที่ 2 คือสร้าง Credit Scoring ของประชาชน เพื่อให้เกิดการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยทื่ยุติธรรม และส่วนที่ 3 การกำกับดูแลโดยหน่วยงานเดียวกัน จากปัจจุบันที่ธนาคารแห่งประเทศไทบ(ธปท.)กำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีสัดส่วนหนี้ในระบบ 1 ใน 3 ที่เหลืออีกครั้งหนึ่งเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจกำกับดูแลโดยกระทรวงการคลัง และอีกส่วนเป็นส่วนของสหกรณ์ต่างๆที่กระทรวงเกษตรฯเป็นผู้ดูแล ซึ่งจะทำให้การแก้ปัญหาครอบคลุมถึงอีก 70%ที่ธปท.ไม่ได้ดูแล รวมถึงทำให้เกิด Risk based Pricing ที่เป็นผลดีทั้ผู้กู้และผู้กู้ เพื่อให้การแก้ไขสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้
นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย(KBANK)กล่าวในหัวข้อ "การเงินที่ยั่งยืน การป้องกันวิกฤติเศรษฐกิจ ว่า การเงินที่ยั่งยืน คือการจัดสรรเงินทุน-สินเชื่อที่มีอยู่ให้พร้อมกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสังคม สิ่งแวดล้อม อย่างมั่นคง ทั่วถึง กระจายตัวทำให้เศรษฐกิจโตได้อย่างยั่งยืน ในขณะเดียวกันประเทศไทยเองก็มีปัญหาทางเศรษฐกิจที่ต้องดำเนินการแก้ไขควบคู่ไปด้วย โดยจะเห็นว่าประเทศไทยติดกับอยู่กับประเทศรายได้ปานกลาง(Middle Income Trap)มาถึง 40 ปีแล้ว โดย 10 ปีที่ผ่านมารายได้ต่อหัวอยู่ในระดับทรงตัวมาโดยตลอด ซึ่งหากเราต้องการหลุดจากกับดักนี้ประชากรจะต้องมีรายได้ต่อหัวที่ 35,000 บาทต่อเดือนจากปัจจุบันที่ 20,000 บาทต่อเดือน
จากปัจจัยหลักได้แก่ ภาพรวมเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย รวมถึงสถาบันการเงินเองก็ได้รับผลกระทบด้านคุณภาพหนี้ทำให้การปล่อยกู้ไม่สามารถกระจายตัวได้อย่างทั่วถึงและโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อมีอย่างจำกัด และเอกชนเองก็ยังมีข้อจำกัดภายใต้ความผันผวนและเศรษฐกิจที่โตต่ำ ดังนั้น การแก้ปัญหาจึงต้องใช้แรงขับเคลื่อนจากทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นภาครัฐที่ต้องสร้างโอกาสในการสร้างรายได้เพิ่มขึ้น ภาคเอกชนต้องผลักดันให้หนี้นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบ และสร้างสภาพคล่องให้มากขึ้นในสภาวะที่เหมาะสม ขณะที่ผู้ประกอบการเองก็ต้องสร้างโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าเพื่อเพิ่มรายได้ และตัวบุคคลเองก็ต้องสร้างเสริมทักษะความรู้ความสามารถรวมถึงวินัยทางการเงินด้วย และภาคการธนาคารก็มีหน้าที่ในการจัดสรรเงินทุน-สินเชื่อให้ไปอยู่ในเซกเตอร์ที่สามารถต่อยอดเศรษฐกิจได้ และก่อให้เกิดความแข็งแกร่งให้กับลูกค้าภายใต้ต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสม
"การแก้ปัญหาเศรษฐกิจในขณะนี้เป็นบทบาทของทุกๆภาคส่วน ให้เห็นพ้องต้องกันว่าจะไปในทางไหน เพื่อให้ไปในทิศทางเดียวกัน เห็นถึงเป้าหมายเดียวกัน ทำไปพร้อมๆกันทั้งภาคการเงิน การลงทุน และการผลิตตามแต่บทบาทของแต่ละคน เพื่อให้ประเทศไทยกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง"