“พิชัย“ จี้ ”แบงก์ชาติ“ เร่งออกนโยบายทางการเงินหนุนฟื้น ศก. ดักคออย่าทำตรงข้าม ชี้ 5 ปัญหาใหญ่เศรษฐกิจที่ ธปท.ต้องช่วยแก้ไข แนะลดช่องว่างเงินกู้-เงินฝาก แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน-หนี้เสีย เพิ่มสภาพคล่อง กำหนดอัตราแลกเปลี่ยน-ดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับการขยายตัวทาง ศก.
วันนี้ (10 ม.ค.66) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และรองประธานยุทธศาสตร์และการเมือง พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่ตนได้เรียกร้องให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกนโยบายทางการเงินที่มีความสำคัญไม่น้อยกว่านโยบายทางการคลัง เพื่อช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทยที่ซบเซามานาน โดย ธปท. มีเครื่องมือหลายด้านที่จะสนับสนุนได้ โดยล่าสุดมีกระแสความไม่พอใจของประชาชนจำนวนมากที่พบว่า ธนาคารพาณิชย์มีกำไรรวมกันกว่า 2.2 แสนล้านบาทในปี 2566 ทั้งที่เศรษฐกิจไทยยังย่ำแย่ และเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ต่ำมาก จึงอยากให้ ธปท. ได้มีมาตรการควบคุมให้ธนาคารพาณิชย์ไม่เอาเปรียบประชาชนมากจนเกินไปนัก
นายพิชัย กล่าวต่อว่า หากมองย้อนไปในปี 2563 ที่ประเทศไทยประสบวิกฤตการณ์ไวรัสโควิด-19 เศรษฐกิจไทยติดลบ -6.1% แต่กำไรของธนาคารพาณิชย์ทั้งหมดยังมหาศาลถึง 1.46 แสนล้านบาท ในขณะที่ธนาคารพาณิชย์ในประเทศอื่นต่างขาดทุนจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ทำให้ประชาชนจำนวนมากสงสัยในประสิทธิภาพการกำกับดูแลของ ธปท. ที่ปล่อยให้ธนาคารพาณิชย์เอาเปรียบประชาชนใช่หรือไม่ อีกทั้งการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์ยังเป็นไปแบบไม่ทั่วถึง รายย่อยจำนวนมากไม่สามารถกู้เงินได้ นี่เป็นเพียงแค่บางเรื่องเท่านั้น
“จึงอยากเรียกร้องให้ ธปท.ได้แก้ไข และ เร่งออกนโยบายทางการเงินเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ” นานพิชัย ระบุ
ที่ปรึกษานานกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ธปท. ควรจะต้องแสดงให้เห็นว่า ธปท. จะสนับสนุนอย่างไรในการแก้ไข ปัญหาใหญ่ทางเศรษฐกิจ 5 เรื่อง ดังนี้
1.ปัญหาเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำมาเป็นเวลานาน และยังมีแนวโน้มที่ปีนี้จะขยายตัวต่ำอีก ไม่น่าจะขยายตัวได้ตามที่ ธปท.คาดการณ์ ทั้งนี้เพราะการคาดการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2567 นี้ จะขยายได้เพียง 2% กว่าเท่านั้น และ 5 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าเศรษฐกิจโลกมาตลอด และเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวต่ำกว่าที่ ธปท.คาดการณ์มาตลอดเช่นกัน อีกทั้งภาคเอกชนต่างเห็นตรงกันว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ไม่น่าจะดีนัก
2.หนี้ครัวเรือนที่สูงกว่า 16.5 ล้านล้านบาท หรือ กว่า 90% ของจีดีพี ธปท. จะช่วยแก้ไขอย่างไร รวมถึง หนี้ของ SMEs หนี้เสียในระบบธนาคาร และหนี้นอกระบบ
3.เงินเฟ้อที่ติดลบมา 3 เดือนติดต่อกัน จาก ต.ค.66 ที่ -0.31%, พ.ย.66 ที่ -0.44% และ ธ.ค.66 ที่ -0.83% และ เงินเฟ้อเดือน ม.ค.67 ก็น่าจะติดลบอีก หลังจากที่เงินเฟ้อไทยลดต่ำมาก่อนหน้านี้ 5 เดือนก่อนที่จะติดลบ น่าจะทำให้ไทยเข้าสู่ภาวะเงินฝืดแล้ว ธปท. จะช่วยแก้ไขอย่างไร
4.การส่งออกที่ติดลบในปี 2566 และส่งออกจะขยายตัวต่ำในปี 2567 ธปท. จะช่วยได้อย่างไร
และ 5.สภาพคล่องในระบบการเงิน และ สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ ลดลงมาก ธปท. จะช่วยได้อย่างไร
“อยากให้ ธปท. ได้ชี้แจงว่าจะช่วยแก้ไข 5 เรื่องที่กล่าวมานี้อย่างไร เพราะเท่าที่ได้ยินเหมือนกับ ธปท. เห็นว่าทุกอย่างกำลังไปได้ดี เครื่องยนต์เศรษฐกิจเดินหน้าได้ครบ ซึ่งอาจจะตรงข้ามกับที่ประชาชนและนักธุรกิจกำลังสัมผัสอยู่ ซึ่ง ธปท. อาจจะไม่ทำอะไรเลย เพราะคิดว่าทุกอย่างดีแล้ว ซึ่งไม่น่าจะใช่แนวทางที่ถูกต้อง” นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย กล่าวด้วยว่า ธปท. มีเครื่องมือหลายด้านที่จะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวและขยายตัวได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การกำหนดอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ, การลดช่องว่างเงินกู้เงินฝากของธนาคารพาณิชย์, การเพิ่มสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และการช่วยเหลือในการแก้ไขหนี้ครัวเรือน หนี้เสีย และหนี้นอกระบบ เป็นต้น
“ผมคงจะไม่ไปแนะนำ ธปท.ว่าต้องทำอะไร เพราะ ธปท.น่าจะต้องมีข้อมูล และแนวทางในการสนับสนุนเพื่อแก้ไขเรื่องต่างๆเหล่านี้ได้อยู่แล้ว ในมาตรการและในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพียงอยากให้มีแนวคิดที่ตรงกันในการฟื้นเศรษฐกิจ เพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น” ที่ปรึกษานายกฯ ระบุ
นายพิชัย กล่าวย้ำในช่วงท้ายอีกว่า การรักษาเสถียรภาพทางการเงิน แต่เศรษฐกิจอยู่ในระดับการเจริญเติบโตที่ต่ำจะไม่สามารถทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากประเทศรายได้ปานกลางขึ้นเป็นประเทศรายได้สูงได้ และสุดท้ายก็จะไม่มีเสถียรภาพ เพราะประชาชนจะลำบากกันมากจากการไม่สามารถหารายได้ได้เพียงพอ จึงอยากให้ ธปท. พิจารณาให้ดีในเรื่องนี้.