นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ( SCB EIC) ยังคงประมาณการจีดีพีไทยปี 2567 ที่ระดับ 1.8% และในปี 2569 ที่ 1.5% ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับจีดีพีไทยในอดีต โดยในช่วงครึ่งแรกของปีที่ผ่านมาจีดีพีเติบโตราว 3% ดังนั้น ในไตรมาส 3 กับ 4 จึงคาดการณ์ว่าจีดีพีจะเติบโตไม่ถึง 1%ต่อไตรมาส ดังนั้น ความเสี่ยงในประเด็นเศรษฐกิจถดถอยหรืออัตราการเติบโตลดลงไตรมาสต่อเนื่อง2ไตรมาส2 จึงยังคงมีอยู่ เนื่องจากในปีหน้าจีดีพีก็ยังมีแนวโน้มเติบโตต่ำ
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลกระทบกดดันจีดีพีในระยะต่อไปเป็นเรื่องของการส่งออกที่จะชะลอลงอย่างชัดเจนหลังจากที่ได้เร่งตัวไปแล้วก่อนหน้าที่จะบังคับใช้ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ซึ่งตัวเลขที่ออกมาในเดือนสิงหาคมก็เริ่มมีสัญญาณชะลอแล้ว ขณะที่เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากกว่าภูมิภาค โดยในปีนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเกือบ 8% แข็งค่าสุดในรอบ 4 ปี ส่งผลต่อซ้ำเติมทั้งภาคส่งออก และท่องเที่ยวที่ใรปีนี้ยังติดลบอยู่
"เงินบาทในระดับนี้ เป็นระดับที่ใกล้เคียงในปี 1997 หรือช่วงต้มยำกุ้ง ดังนั้น ถือว่าความได้เปรียบจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าในภาคส่งออก-ท่องเที่ยวหมดไปแล้ว ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อเงินบาท ก็มีทั้งปัจจัยภายนอกอย่างเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า รวมถึงปริมาณการซื้อขายทองคำที่สูงขึ้นด้วย ซึ่งตรงนี้เป็นอีกหนึ่งโจทย์ที่มีความท้าทาย"
นอกจากนี้ หนี้ครัวเรือนแม้จะลดลงบ้างแต่ก็ยังอยู่ในระดับสูง ธุรกิจเอสเอ็มอีที่เปราะบางยังส่งผลต่อภาคการบริโภคแผ่วลงต่อเนื่อง และภาคแรงงานที่ต้องติดตาม โดยตัวเลขการว่างงานปรับตัวเพิ่มขึ้นใกล้ 1% ในระบบประกันสังคมแตะเกือบ 2% และในกลุ่มเด็กจบใหม่ที่ 17-18%
**คาดกนง.ลดดบ.เดือนธ.ค.นี้**
ดังนั้น จากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังคงมีปัจจัยกดดันค่อนข้างสูง จึงคาดการณ์คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกรอบในปีนี้ประมาณเดือนธันวาคมที่ 0.25% และในต้นปีหน้าอีก 1 ครั้ง สู่ระดับ 1.00% เพื่อผ่อนคลายภาวะการเงิน
**แนะรัฐบาลเร่ง3 S-ปฎิรูปการคลัง**
สำหรับข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลใหม่นั้น EIC SCB มองใน 3 ด้าน(3 S) ได้แก่ Stabilize การฟื้นความเชื่อมั่น โดยเน้นเป้าหมายที่ชัดเจน ทำได้จริง , Stimulate การกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเน้นมาตรการการคลังที่ตรงจุด รวดเร็วและชั่วคราว ซึ่งล่าสุดก็ภาครัฐก็จะใช้โปรแกรม"คนละครึ่ง"เข้ามาช่วยเศรษฐกิจ ซึ่งแม้ว่าผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอาจจะมีจำกัดแต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องทำ และ Structural reform การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะต้องทำในหลายได้นาน โดยเฉพาะการปฎิรูปทางการคลัง ทั้งด้านการใช้จ่าย และการหารายได้ จากหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการถูกลดอันดับเครดิต ซึ่งถือเป็นความท้าทายของภาครัฐที่จะต้องบริหารจัดการด้านการคลังท่ามกลางโมเมนตัมเศรษฐกิจที่ต้องการการกระตัุน รวมถึงการเบิกจ่ายเร่งงบประมาณ-งบลงทุนที่อาจจะขาดตอนไปในช่วงเปลี่ยนถ่าย ซึ่งเชื่อว่าเป็นประเด็นที่รัฐบาลเองก็ตระหนักอยู่แล้ว
"แม้ว่ารัฐบาลนี้จะมีระยะเวลาในการบริหารประเทศตามที่กำหนดไว้ 4 เดือน แต่เชื่อว่าภายระยะเวลาที่จำกัดนี้จะวางแผนงานที่สามารถให้คณะทำงานต่างๆดำเนินการต่อไปได้ถึงแม้จะยุบสภา-เลือกตั้งใหม่ จนกระทั่งมีรัฐบาลใหม่ ดังนั้น ในปีนี้ ต่อเนื่องจนถึงปีหน้ายังเป็นปีที่ท้าทายเป็นพิเศษ ซึ่งหากมีการแก้ปัญหาในแนวทางที่ถูกทางสามารถขับเคลื่อนภาคส่งออก-ท่องเที่ยวให้ไปต่อได้ เชื่อว่าจีดีพีไทยจะสามารถกลับมาเติบโตเพิ่มขึ้นได้ในปี 2027"