นายแบงก์ชี้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่หมักหมมมายาวนานกดดันเศรษฐกิจโตต่ำต่อเนื่อง เสนอ 3 ประเด็นหลักจาก "Reinvent Thailand" "แก้หนี้ครัวเรือน-เพิ่มขีดความสามารถเอกชน-ประสิทธิภาพความต่อเนื่องของนโยบายรัฐ" หนุนปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศอย่างยั่งยืน ขณะที่ความเสี่ยงจากการถูกลดอันดับเครดิตเพิ่มขึ้นได้หากแนวโน้มรายรับ-รายจ่ายไม่สมดุล
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB)กล่าวถึงกรณีที่ประเทศไทยมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจะถูกปรับลดอันดับเครดิตว่า การพิจารณาอันดับเครดิตของประเทศก็เหมือนกับการพิจารณาเรื่องปล่อยสินเชื่อ คือดูทั้งด้านรายรับ และรายจ่าย ขณะนี้รายรับของประเทศคือการจัดเก็บภาษีก็ต่ำกว่าเป้าหมายอยู่แล้ว ขณะที่รายจ่ายก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเพื่อนำไปกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้น หากเรายังใช้วิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้งบประมาณขาดดุลต่อไปเรื่อยๆ หนี้สาธารณะก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มที่จะถูกปรับลดอันดับเครดิตในอนาคต
นายปิติกล่าวอีกว่าเศรษฐกิจไทยมีปัญหาในเชิงโครงสร้างที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังมาอย่างยาวนาน ซึ่งผลที่สะท้อนออกมาก็คือการเติบโตของเศรษฐกิจที่ต่ำลงเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง นับจากวิกฤติต้มยำกุ้งมาจนถึงปัจจุบันซึ่งการที่จะทำได้ต้องอาศัยใน 3 แกนหลักๆได้แก่ การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างบูรณาการทั้งระบบ โดยเชื่อมโยงข้อมูลที่จะนำไปสู่การเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ ลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบ ,การเพิ่มขีดความสามารถของภาคเอกชน เพิ่มทักษะแรงงานซึ่งจะต้องอาศัยความร่วมมือทั้งจากภาครัฐเข้ามาช่วย และสร้างประสิทธิภาพและความต่อเนื่องของนโยบายประเทศ
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งของรัฐบาลว่าจะเป็น 4 เดือน หรือ 4 ปี แต่อยู่ที่เมื่อมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามา ก็ต้องเพิ่มนโยบายใหม่เข้ามา สิ่งที่ทำอยู่เดิมก็ไม่มีความต่อเนื่อง เข้ามาใหม่ชุดหนึ่ง ก็ต้องเปลี่ยนนโยบายอีกชุด ดังนั้น สิ่งที่ทางภาคเอกชนในนามกกร.ได้นำเสนอไปใน White Paper ที่เรียกว่าแพลตฟอร์ม Reinvent Thailand หนึ่งในนั้นได้นำเสนอแยกส่วนระหว่างการทำนโยบายซึ่งเป็นการระดมความคิดของกลุ่มคนที่มีความรู้ความสามารถที่อาจจะไม่ได้ไปทำงานการเมืองมาทำแนวนโยบายเศรษฐกิจหลัก กับกลุ่มที่มีหน้าบริหาร-ปฏิบัติการ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบายและแก้ไขปัญหา”
สำหรับการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนนั้น นายปิติกล่าวว่า ควรมีกลไกด้านข้อมูลเครดิตที่สมบูรณ์กว่านี้ โดยให้ทุกๆองค์กร/บริษัทที่มีการปล่อยกู้ต้องรายงานเพื่อให้บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB)เก็บข้อมูล รวมถึงการจัดทำ Scoring เพื่อเป็นแนวทางในการคิดอัตราดอกเบี้ย และสถาบันการเงินก็ปล่อยกู้โดยใช้ Scoring ดังกล่าว รวมถึงการปล่อยกู้อย่างมีความรับผิดชอบด้วย ซึ่งหากทั้ง 3 ส่วนนี้เชื่อมกันก็จะทำให้การปล่อยสินเชื่อมีคุณภาพ และเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น
ส่วนการจัดตั้งธนาคารไร้สาขา(เวอร์ชวล แบงก์)ที่มีวัตถุประสงค์เพื่ือเพิ่มโอกาสให้กลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการของธนาคารให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้นนั้น มองว่าหากดูข้อมูลจากประเทศที่ประสบความสำเร็จในการทำเวอร์ชวลแบงก์ มี 2 ปัจจัย ได้แก่ กลุ่มที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมต่างๆสูง อาทิ ค่าธรรมเนียมโอนเงินสูง ช่องทางเปิดบัญชียาก อย่างกลุ่มธนาคารในประเทศยุโรป แล้วก็กลุ่มประเทศที่เข้าถึงสินเชื่อยาก ซึ่งมองว่าในประเทศไทยยังไม่เข้าข่าย 2 ประเด็นดังกล่าว
"เวอร์ชวลแบงก์จากที่เรามองใน 2 ปัจจัยดังกล่าว เรื่องของค่าธรรมเนียมแบงก์ไทยลูกค้าเสียน้อยมาก ค่าโอนฟรี การเปิดบัญชีง่ายจนบัญชีม้าเกลื่อน ไม่นับวอลเล็ตอีกมากมาย ส่วนการเข้าถึงสินเชื่อมีมากจนหนี้ครัวเรือนสูงขนาดนี้ บางในครั้งกินกาแฟ กินสุกี้ก็ยังมี Buy now pay later ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงเพราะมีการก่อหนี้สูงโดยไม่จำเป็น ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นลูกหนี้ หรือสถาบันการเงินเอง ก็ต้องการกู้-ปล่อยกู้อย่างมีความรับผิดชอบเช่นกัน"
**แจงซื้อหุ้นคืนรอบแรก5พันล.**
ด้านความคืบหน้าโครงการซื้อหุ้นคืนของทีทีบีนั้น นายปิติกล่าวว่า ตามเงื่อนไขของโครงการฯจะมีวงเงินในการซื้อคืนรวม 21,000 ล้านบาทในระยะเวลา 3 ปี โดยในรอบ 6 เดือนของปีแรกมียอดซื้อคืนแล้ว 5,000 ล้านบาท ซึ่งแม้ว่าจะยังไม่เต็มจำนวนที่ 7,000 ล้านบาท แต่ธนาคารก็ไม่มีข้อจำกัดที่จะต้องรีบใช้วงเงินให้ครบ จะพิจารณาการซื้อคืนตามความเหมาะสมมากกว่า อาทิ ช่วงที่ราคาหุ้นต่ำก็จะใช้วงเงินในการซื้อสูงเพื่อพยุงราคาหุ้นและช่วยเหลือผู้ถือหุ้น หากช่วงที่ราคาหุ้นอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมแล้วก็ไม่จำเป็นต้องซื้อคืน ทั้งนี้ เนื่องจากการมีกฎเกณฑ์ในเรื่องระยะเวลาการซื้อคืนในแต่ละปีเพียง 6 เดือน ซึ่งอาจจะไม่ตรงช่วงราคาที่เหมาะสมจึงยังมีวงเงินเหลือ ดังนั้น หากไม่มีการกำหนดช่วงกรอบเวลาการซื้อก็อาจจะทำให้การซื้อหุ้นคืนมีความคล่องตัวมากขึ้น