xs
xsm
sm
md
lg

จีนจัดหนัก "กว้ายโซ่ว" คดีฉาวสะเทือน “ฟอกเงินคริปโต” ยึดบิทคอยน์กว่า 90 เหรียญ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



คดีฟอกเงินด้วยบิทคอยน์มูลค่ากว่า 20 ล้านดอลลาร์ ปะทุกลางกรุงปักกิ่ง เมื่อนายเฟิง พนักงานระดับสูงของแพลตฟอร์มวิดีโอชื่อดัง กว้ายโซ่ว (Kuaishou) สมรู้ร่วมคิดกับเครือข่ายภายนอก ยักยอกเงินผ่านช่องโหว่นโยบายจูงใจ ก่อนแปลงเป็นคริปโตเคลื่อนย้ายข้ามแดนผ่านกระดานแลกเปลี่ยนต่างประเทศ 8 แห่ง ใช้บริการ “มิกซ์คริปโต” อำพรางเส้นทางทุน สุดท้ายทางการจีนตามยึดคืนได้ 90 BTC พร้อมลงโทษจำคุกยาวถึง 14 ปี สะท้อนแนวทาง “เหล็กกล้า” ของจีนต่ออาชญากรรมดิจิทัล แม้จะห้ามเทรดคริปโตโดยเด็ดขาดตั้งแต่ปี 2564

ปราบฟอกเงินดิจิทัลกลางเมืองหลวง

ทางการจีนเดินหน้าใช้กฎหมายคริปโตอย่างเข้มงวดอีกครั้ง หลังเปิดโปงคดีฟอกเงินที่ซับซ้อนผ่านบิทคอยน์ มูลค่ากว่า 140 ล้านหยวน (ประมาณ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ที่ถูกยักยอกจากภายในบริษัท Kuaishou หรือ กว้ายโซ่ว แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นระดับประเทศที่มีผู้ใช้งานนับร้อยล้านคน

การสืบสวนของเจ้าหน้าที่เขต ไห่เตี้ยน กรุงปักกิ่ง เปิดเผยว่า มีพนักงานระดับสูงของ กว้ายโซ่ว ซึ่งได้รับการระบุชื่อโดยสื่อท้องถิ่นว่า “เฟิง” เป็นผู้แทรกแซงระบบจูงใจบนแพลตฟอร์ม และรั่วไหลข้อมูลเชิงนโยบายไปยังเครือข่ายภายนอก เพื่อใช้เปิดทางในการยื่นขอเงินสนับสนุนอย่างผิดกฎหมาย

เจาะโมเดลโกง แฮ็กระบบจูงใจ สวมรอยขอเงินโบนัส

เฟิงมีหน้าที่ควบคุมการอนุมัติพันธมิตรรายใหม่ และออกแบบนโยบายโบนัสเพื่อกระตุ้นผู้ประกอบการให้เข้าร่วมระบบของ กว้ายโซ่ว แต่แทนที่จะใช้ตำแหน่งเพื่อเสริมสร้างแพลตฟอร์ม กลับแปรข้อมูลภายในเป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์

รายงานระบุว่า เฟิงร่วมมือกับกลุ่มภายนอก ตั้งบริษัทบังหน้าเพื่อ “สวมรอย” ยื่นขอรับโบนัสจากแพลตฟอร์ม โดยใช้ช่องโหว่นโยบายและชุดข้อมูลคุณสมบัติที่เฟิงจัดเตรียมไว้ให้ ทำให้ระบบตรวจสอบไม่สามารถจับความผิดปกติได้

เมื่อได้รับเงินโบนัสอย่างผิดกฎหมาย กลุ่มดังกล่าวจะ นำเงินเข้าสู่เครือข่ายฟอกเงินระดับนานาชาติผ่านศูนย์แลกเปลี่ยนคริปโต 8 แห่งนอกประเทศโดยทยอยแปลงเป็นบิทคอยน์ทีละชุด

จากนั้นใช้บริการ “Crypto Mixing Service” เพื่อ ลบล้างเส้นทางธุรกรรม และอำพรางต้นทางกับปลายทางของเหรียญดิจิทัลเหล่านี้ ซึ่งเป็นเทคนิคที่นิยมในหมู่อาชญากรไซเบอร์

การสืบสวนเชิงลึกยึดคืนกว่า 90 BTC

แม้กลุ่มดังกล่าวจะใช้เทคนิคขั้นสูงในการฟอกเงิน แต่สุดท้าย เจ้าหน้าที่จีนสามารถติดตามเส้นทางการเงินและเข้ายึดคืนบิทคอยน์ได้มากกว่า 90 BTC ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญในการดำเนินคดีอาญาต่อผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด

ศาลได้พิพากษาโทษ จำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 14 ปี สำหรับผู้กระทำผิดในข้อหายักยอกทรัพย์, ฟอกเงิน และประพฤติมิชอบทางการเงิน ภายใต้กฎหมายคุ้มครองการใช้สกุลเงินดิจิทัลของจีน

จีนยังถือบิทคอยน์เกือบ 200,000 เหรียญ แม้กฏหมายห้ามใช้อย่างเป็นทางการ

แม้จีนจะสั่งห้ามการซื้อขายคริปโตอย่างเด็ดขาดตั้งแต่ปี 2560 และประกาศให้การทำธุรกรรมเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลเป็น “ผิดกฎหมาย” ตั้งแต่ปี 2564 แต่ทางการยังคงแสดงจุดยืนชัดเจนในการจัดการกับอาชญากรรมที่ใช้คริปโตเป็นเครื่องมือ

ที่น่าสนใจคือรัฐบาลจีนยังคงถือครองบิทคอยน์จำนวนมากกว่า 190,000 BTC ซึ่งส่วนใหญ่ถูกยึดจากคดีฟอกเงินและอาชญากรรมดิจิทัลในอดีต โดยนักวิเคราะห์มองว่า เป็นแนวทาง “ป้องกันความเสี่ยง” ของรัฐหากเกิดการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจในอนาคต

สัญญาณเตือนทุกองค์กร คริปโตไม่ใช่พื้นที่ไร้กฎหมาย

คดีนี้ตอกย้ำว่าคริปโตเคอร์เรนซีไม่ใช่ “พื้นที่สีเทา” อย่างที่หลายคนเคยเข้าใจ ความสามารถในการติดตามธุรกรรม แม้จะกระจายศูนย์ กระจายช่องทาง และถูกผสมซ้อนด้วยเทคนิคต่างๆ ก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นสายตาของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายได้

องค์กรใดที่ยังเชื่อว่า "การเล่นกับช่องโหว่ของระบบดิจิทัลแล้วปลอดภัย" อาจต้องทบทวนกลยุทธ์ใหม่ เพราะโลกการเงินยุค Web3 ไม่ได้แปลว่าปราศจากกฎเกณฑ์แต่มันหมายถึงการเปลี่ยนสมการของ “ความโปร่งใส” ไปสู่อีกระดับที่แม่นยำกว่าเดิม