กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) ประเมินเศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายรอบด้านช่วงครึ่งปีหลัง คาดยอดนักท่องเที่ยวต่ำกว่าเป้า การเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ สุ่มเสี่ยงกระทบส่งออกและการย้ายฐานการผลิต ด้านการเมืองยังเป็นปัจจัยกดดันสำคัญ หวั่น GDP ปีนี้โตเพียง 1.6% และอาจลดลงเหลือ 1.4% หากงบประมาณปี 2569 ไม่ผ่าน แนะกระจายพอร์ตไปต่างประเทศเลี่ยงความผันผวนหุ้นไทย มองกรอบ SET ครึ่งปีหลัง 1,000-1,230 จุด
นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ KKP คาดว่า GDP ของไทยในปี 68 จะเติบโต 1.6% โดยเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสชะลอตัวจากแรงกดดันสารพัด โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงจากที่หลายคนมองว่าปีนี้น่าจะเติบโตได้ 7-8% แต่ปัจจุบันติดลบไปแล้ว 4% นักท่องเที่ยวจีนหายไปถึง 40% เป็นแรงกดดันที่สำคัญ เพราะปีที่ผ่านมามีจำนวนนักท่องเที่ยว 35.5 ล้านคน แต่ปีนี้ประเมินว่าจะเหลือเพียง 34 กว่าล้านคน ดังนั้นแทนที่จะเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจ กลับเป็นแรงดึง และยังไม่มีสัญญาณเครื่องจักรตัวอื่นเข้ามาช่วยเศรษฐกิจ
เรื่องถัดมาคือเรื่องความสามารถในการแข่งขัน และมีผลต่อการส่งออก แม้ไตรมาส 1-2 การส่งออกจะดีมาก แต่ไม่ได้สะท้อนไปที่ภาคการผลิตเท่าที่ควร ตัวเลขในเดือนเม.ย.-พ.ค.68 การส่งออก +18% แต่ภาคการผลิต +1.9% แสดงว่าภาคการผลิตไม่ได้ดีขึ้นเหมือนส่งออก อีกทั้งยังมีเรื่องการเจรจาการค้ากับสหรัฐมาเป็นปัจจัยเสี่ยงอีก
ขณะที่การปล่อยสินเชื่อภาคธนาคารที่หดตัวต่อเนื่องมาหลายไตรมาส ซึ่งกระทบกับการบริโภคที่ต้องการสินเชื่อ เช่น รถยนต์ ภาคอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลต่อเนื่องถึงภาพรวมเศรษฐกิจ จะเห็นได้จากภาคการผลิตรถยนต์และภาคอสังหาริมทรัพย์หดตัวต่อเนื่อง ฉะนั้น ภาพเศรษฐกิจครึ่งปีหลังน่ากังวล
นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังถูกกดันด้วยปัญหางการเมือง ซึ่งก่อนหน้ากังวลว่าหากยุบสภาก่อนร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 69 ผ่านสภาฯ อาจทำให้เกิดความล่าช้าของงบลงทุน ซึ่งจะกดดันให้ GDP ลดลง 0.2% เหลือเติบโตได้เพียง 1.4% ในปีนี้ ซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจ แต่การเมืองปัจจุบันมีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาบ้างดูเหมือนจะลดความเสี่ยงตรงนี้ไป
อย่างไรก็ดี ยังน่ากังวลประเด็นการเจรจาการค้ากับสหรัฐ ซึ่งล่าสุดผลเจรจากับเวียดนาม สหรัฐกำหนดอัตราภาษีที่ 20% โดยมองว่าขนาดเวียดนามยอมลดเงื่อนไขกับสหรัฐมากแล้วยังถูกเก็บภาษี 20% ดังนั้น ไทยมีความเสี่ยงที่จะถูกเรียกเก็บภาษีสูงกว่าเวียดนามหรือไม่ และเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งประเทศอื่น อาทิ จีน เวียดนาม เกาหลี มาเลเซีย ถ้าหากไทยจ่ายภาษีมากกว่า ไม่ใช่เพียงเรื่องความสามารถในการแข่งขัน แต่การลงทุนของต่างชาติจะมีปัญหาแน่นอน รวมถึงราคาน้ำมันที่มีโอกาสผันผวน
"ถ้าครึ่งปีหลังเราไปโดนจริงๆในอัตราที่สูงขึ้น ดีมานด์หายไปด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว และถ้าเราสูงกว่าการย้ายฐานการผลิตก็น่าจะเห็น การลงทุนก็จะได้รับผลกระทบด้วย"นายพิพัฒน์ กล่าว
ดังนั้น KKP จึงคาดว่าเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังจะลดลงและชะลอต่อเนื่องไปถึงปี 69 ซึ่งคาดว่า GDP จะเติบโต 1.5% ก่อนจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจไทยติดหล่มชั่วคราว ตัวเลขนักท่องเที่ยวตกเป็นแรงกดดัน ส่วนค่าเงินบาทแข็งค่ามาจากเงินดอลลาร์อ่อนค่าแต่เมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น เงินบาทแข็งค่าทั้งที่ไม่มีปัจจัยพื้นฐานมาสนับสนุนมากนัก ดุลบัญชีเดินสะพัดไม่ดีขึ้น แต่ระยะกลางถึงระยะยาวคาดว่าเงินบาทน่าจะอ่อนค่า ให้กรอบ 32-36 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
ด้านนายทวีศักดิ์ เผ่าพัลลภ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน KKP กล่าวว่า หุ้นไทยผันผวนและแย่กว่าหุ้นโลก โดยครึ่งปีหลังหุ้นไทยจะผันผวนคล้ายๆ กับครึ่งปีแรก แต่มีปัจจัยการเมืองเข้ามาด้วย มองว่าอัพไซด์จำกัดในช่วง 6-12 เดือน เรายังแนะนักลงทุนกระจายพอร์ตการลงทุนไปต่างประเทศ เพราะระยะสั้นยังเจอแรงกดดันหลายอย่าง ระยะยาวมีปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ KKP ให้กรอบดัชนี SET ครึ่งปีหลังที่ 1,000-1,230 จุด แนะหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล-สื่อสาร