ไทยพาณิชย์เผยภาพรวมสินเชื่อปีนี้มีความท้าทายสูงจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง รับอาจเติบโตไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้ เน้นการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวังควบคู่กับการดูแลคุณภาพหนี้ ขณะที่สินเชื่อ ESG ยังโตได้ดีคาดทะลุเป้าหมายที่ 1.5แสนล้านในปีนี้
นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้มีความผันผวนค่อนข้างสูงจากปัจจัลบทางด้านนโยบายภาษีประธานาธิปดี โดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงปัจจัยลบภายในประเทศ ทำให้คาดการการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยปีนี้มีโอกาสเติบโตที่ระดับ 1.5-1.7% โดยภาพเศรษฐกิจมีการเติบโตช้าเห็นชัดเจนขึ้นตั้งแต่ไตรมาส2/2568เป็นต้นไป ถือเป็นความท้าทายต่อภาพธุรกิจและภาคธนาคารสูง
"แม้ว่าเศรษฐกิจไตรมาสแรกจะเติบโตดี แต่ไตรมาสแรกไม่ใช่ภาพรวมทั้งปี ในระยะต่อไปเราอาจจะเห็นหนังคนละม้วนเลยก็ได้ เพราะเศรษฐกิจไทยหลังจากนี้เข้าสู่ความท้าทายสูง ด้วยปัจจัยลบรอบด้านเข้ามากระทบ ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้าที่จะกระทบส่งออก ขณะที่การท่องเที่ยวเองก็ชะลอลง หนี้ครัวเรือนที่แม้จะอ่อนตัวลง แต่ก็ยังสูงและเป็นปัญหาด้านโครงสร้าง ดังจะเห็นได้จากหลายๆสำนักก็ปรับลดคาดการณ์จีดีพีเติบโตลงทั้งนั้น ซึ่งการขยายตัวของจีดีพีจะเป็นแบบ เค เชฟ โดยมีทั้งกลุ่มที่สามารถเติบโตต่อไปได้ และกลุ่มชะลอตัวลงต่อเนื่อง ธนาคารเองก็จะต้องพิจารณาอย่างระมัดระวัง ไปพร้อมๆกับดูแลลูกค้าที่มีปัญหาไปด้วย"
สำหรับภาพรวมสินเชื่อรวมของธนาคารในปีนี้ยังคงเติบโตได้ดีในบางกลุ่มธุรกิจ แม้สินเชื่อรวมมีความเป็นไปได้ที่จะต่ำกว่าเป้าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1-2% ก็ตาม แต่ก็มั่นใจสินเชื่อปีนี้เติบโตไม่ติดลบแน่นอน โดยน่าจะมองที่กรอบล่างของเป้าหมาย 1%ไว้ก่อน ขณะเดียวกัน ธนาคารยังเดินหน้าบริหารจัดการหนี้เสียอย่างเข้มข้นเพื่อลดความเสี่ยง ซึ่งก็จะต้องดูแลไปพร้อมๆกันทั้ง 3 ส่วนนับแต่การปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง การติดตามดูแลลูกหนี้อย่างใกล้ชิด และเข้าไปช่วยเหลือลูกหนี้อย่างทันท่วงที่ด้วยมาตรการของทั้งธนาคารเองและมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ก่อนที่จะกลายเป็นหนี้เสีย
นายกฤษณ์กล่าวอีกว่า กลุ่มที่ยังเติบโตได้ดียังเป็นสินเชื่อรายใหญ่และสินเชื่อบ้านที่เน้นลูกค้ากลุ่มบ้าน 5 ล้านบาทขึ้นไปซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงไม่สูงนัก ขณะที่สินเชื่อรถยนต์ และเอสเอ็มอียังต้องระมัดระวังสูง ขณะที่สินเชื่อเพื่อความยั่งยืนเติบโตได้ดียอดปล่อยสินเชื่อในปัจจุบันแตะ 145,000 ล้านบาท และสิ้นปีนี้น่าจะทะลุเป้าหมายที่ 150,000 ล้านบาทไปแตะที่ประมาณ 155,000 ล้านบาทได้ โดยธนาคารมีแผนสนับสนุนลูกค้าขนาดกลางและเล็ก (SME) สู่ธุรกิจยั่งยืนผ่านสืนเชื่อดังกล่าวมากขึ้น จากปัจจุบันที่ยังอยู่ในสัดส่วนน้อย ขณะที่กลุ่มธุรกิจรายใหญ่โดยมากมีความพร้อมในการที่จะปรับตัวอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังคงแผนรักษาระดับการเติบโตของอัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ให้อยู่ในระดับสองหลักอย่างต่อเนื่องทั้งในปีนี้และในปีถัดๆไป แม้ว่าจะเป็นโจทย์ที่ท้าทายภายใต้ความไม่แน่นอนสูงของเศรษฐกิจที่เข้ามากระทบ ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 1/2568 ธนาคารไทยพาณิชย์มีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ที่ 10.4% ซึ่งถือเป็นระดับ "สองหลัก" ตามเป้าหมายที่ธนาคารตั้งไว้ พร้อมกันนี้ ธนาคารยังคงแผนจ่ายเงินปันผลในสัดส่วนสูงต่อเนื่องให้กับบริษัท เอสซีบี เอ็กซ์ จำกัด (มหาชน)ในฐานนะบริษัทแม่เช่นเดิม
ด้านทิศทางดอกเบี้ยคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ไปแตะที่ระดับ 1.25% ต่อปี จากอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ และเป็นการช่วยลดภาระให้กับธุรกิจ-ลูกหนี้ รวมถึงช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่ไม่ควรอยู่ในระดับดังกล่าวนานเช่นกัน ขณะเดียวกันในกลุ่มลูกค้าส่งออกของธนาคารที่อิงตลาดสหรัฐฯในสัดส่วนน้อย แต่ธนาคารยังเดินหน้าดูแลลูกค้าทุกกลุ่มอย่างใกล้ชิดทั้งที่เกี่ยวเนื่องกับตลาดสหรัฐฯโดยตรงหรือไม่ก็ตาม