xs
xsm
sm
md
lg

SCB FM มองเฟดลดดอกเบี้ยกลางปี บาทมีแรงกดดันด้านแข็งค่ามากขึ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets: SCB FM) เผยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) คงดอกเบี้ยที่ 4.25-4.50% ตามคาด อย่างไรก็ดี แม้ Fed จะพยายามส่งสัญญาณว่าความไม่แน่นอนมากขึ้นและเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่ตลาดกลับให้โอกาสที่ Fed จะลดดอกเบี้ยในปีนี้มีมากขึ้น โดย Price-in ที่ราว 75 bps ซึ่งมากกว่าที่ Fed สื่อสารใน Dot plot สำหรับมุมมองในระยะต่อไป SCB FM ยังคงมุมมองเดิมว่า Fed อาจลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ โดยการลดครั้งแรกอาจเป็นการประชุมเดือน มิ.ย. และอาจลดอีกครั้งในช่วงไตรมาสที่ 4 ปีนี้ ซึ่งจะทำให้เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นได้ โดยมองกรอบปลายปีที่ราว 32.50-33.50 เนื่องจาก เริ่มเห็นสัญญาณที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอลงชัดเจนขึ้น ขณะที่นโยบายการคลังในยุโรปมีมากขึ้น ทำให้เริ่มเห็นเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกจากสหรัฐฯ เข้ายุโรปมากขึ้น เงินยูโรจึงมีแนวโน้มแข็งค่า กดดันให้ดอลลาร์อ่อนค่าต่อ และเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าได้

นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส สายงานตลาดการเงิน เปิดเผยว่า SCB FM ยังคงมุมมองว่า Fed อาจลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ โดยการลดครั้งแรกอาจเป็นการประชุมเดือน มิ.ย. และอาจลดอีกครั้งในช่วงไตรมาสที่4 ปีนี้ ทั้งนี้ หากทรัมป์ออกมาตรการ Tariffs ตามที่ขู่ไว้ และอัตราภาษี Effective tariffs สูงกว่า 20% ซึ่งส่งผลต่อเงินเฟ้อมากกว่าเศรษฐกิจ กล่าวคือ หากตัวเลขการบริโภคและการลงทุนในสหรัฐฯ อาจชะลอลงไม่มากนัก และอัตราว่างงานยังต่ำกว่า 4.4% แต่ถ้าเงินเฟ้อ (Core PCE) เร่งตัวไปแตะ 3% อาจทำให้ Fed ลดดอกเบี้ยช้ากว่าและน้อยกว่าที่คาดได้

สำหรับ Markets’ reaction หลังผลการประชุม พบว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Treasury yields) ปรับลดลงราว 7-10 bps โดย Yields ระยะสั้นอายุ 2 ปี ลดลงมากกว่า yields ระยะยาวอายุ 10 ปี ส่วนดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเล็กน้อย และตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับสูงขึ้น

ด้านค่าเงินบาทในระยะสั้นนี้ เงินบาทยังมีแนวโน้มทรงตัวในกรอบ 33.50-34.00 โดยพบว่าในช่วงที่ผ่านมา แรงกดดันด้านแข็งค่าเริ่มมีมากขึ้น แต่เงินบาทยังไม่ทะลุแนวรับสำคัญที่ 33.50 บาทต่อดอลลาร์ได้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ตลาดยังไม่เชื่อมั่นกับการประกาศนโยบาย Tariffs ของทรัมป์มากนัก เนื่องจากที่ผ่านมามักมีการประกาศ แต่เลื่อนการบังคับใช้หรือให้ข้อยกเว้นในสินค้าบางกลุ่ม ทำให้ Reactions ในตลาดการเงินเริ่มลดลงเป็นลำดับ อีกทั้งยังพบว่า ธปท. เข้าดูแลค่าเงินบาทในบางจังหวะ ทำให้ความผันผวนของเงินบาทไม่มากนัก

ส่วนในระยะกลางถึงยาว คาดว่าเงินบาทจะทยอยแข็งค่าขึ้นได้ โดยมองกรอบปลายปีที่ราว 32.50-33.50 เนื่องจากเริ่มเห็นสัญญาณที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอลงชัดเจนขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะในตัวเลขฝั่ง Soft data เช่น PMI และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เริ่มลดลง ทำให้ตลาดบางส่วนกังวล Recession risk จึงเริ่มเห็นเงินไหลออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ชัดเจนขึ้น กดดันให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า โดยในระยะต่อไป มองว่าเงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มชะลอลงต่อได้ พร้อมกับแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ Fed ทำให้ดอลลาร์จะอ่อนลงต่อ นอกจากนี้ นโยบายการคลังในยุโรปที่ชัดเจนขึ้น ทำให้เริ่มเห็นเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลเข้ายุโรปมากขึ้น เงินยูโรจึงแข็งค่า กดดันให้ดอลลาร์อ่อนค่าต่อ เงินบาทจึงมีแนวโน้มแข็งค่าในระยะกลางถึงยาวได้

อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนในตลาดการเงินโลกยังมีอยู่มาก ซึ่งอาจทำให้เงินบาทอ่อนค่าในบางจังหวะ เช่น การประกาศมาตรการภาษีนำเข้าตอบโต้ที่มองว่า ณ ขณะนี้ตลาดยังไม่ได้ Price-in เข้าไปในราคาทั้งหมด อาจทำให้เงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้นในช่วงสั้น กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าเหนือ 34 บาทต่อดอลลาร์ได้ หรือการประกาศ Tariffs ในบางกลุ่มสินค้า เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ยานยนตร์ และยา อาจทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าและกดดันบาทอ่อนได้ นอกจากนี้ ปัจจัยในประเทศ เช่น ภาวะการเงินที่ตึงตัว และความสามารถในการชำระหนี้ของกลุ่ม SMEs และผู้มีรายได้ต่ำ อาจทำให้ กนง. ลดดอกเบี้ยเหนือคาด ซึ่งกดดันให้บาทอ่อนค่ากว่าที่ประเมินได้เช่นกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น