หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 5.25-5.50% ตามคาดการณ์ แต่ได้สงสัญญาณว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ถ้าเกิดเห็นหลักฐานที่ชัดเจนว่ามีความสมดุลมากขึ้นระหว่างเงินเฟ้อที่มีโอกาสที่จะลดลงเข้าสู่เป้าหมายที่ 2% และ ตลาดแรงงานมีความร้อนแรงลดน้อยลง แต่ยังคงขอติดตามตัวเลขเงินเฟ้อและการจ้างงานเพิ่มเติมเพื่อมีให้มีความมั่นใจมากขึ้น ก่อนจะตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไปในเดือนกันยายน
ในแถลงการณ์หลังการประชุมรอบนี้ มีการเน้นเรื่องเรื่องหน้าที่ของธนาคารกลางเรื่องการรักษาเสถียรภาพของระดับราคาและการจ้างงานที่เต็มประสิทธิภาพ (dual mandate) โดยครั้งก่อนเน้นเพียงแค่ความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้อเพียงอย่างเดียว ขณะที่นายเจอโรม พาวเวล ประธาน Fed ให้ความเห็นว่าการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อที่ไม่คาดคิดนั้นลดลงแล้ว ส่วนตลาดแรงงานมองยังคงแข็งแกร่งแต่ชะลอตัวเล็กน้อย การจ้างงานลดลง และอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 4.1% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ปี 2564 แต่ยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำ
ในการประชุมครั้งนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีท่าทีที่ Dovish มากขึ้น ภาพรวมเศรษฐกิจโดยรวมยังแข็งแกร่ง GDP ไตรมาส 2/67 เติบโตดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ เงินเฟ้อที่อยู่ในช่วงขาลง โอกาสการเกิด Recession มีน้อยลงมาก และคาดว่า Fed จะมีการลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้งปลายปีนี้ ในช่วงเดือนกันยายน
อย่างไรก็ตามการที่ธนาคารกลางสหรัฐ สะท้อนภาพสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มถดถอยในปัจจุบัน (สิงหาคม 2567) ซึ่งเศรษฐกิจสหรัฐในปัจจุบันกำลังเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างชะลอตัวลง อัตราการเติบโตของ GDP คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.8% ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 และ 1.5% ในปี 2568 ซึ่งช้าลงจาก 3.1% ในปี 2566 อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 3.1% ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ จาก 4.0% ในปี 2566
ในด้านตลาดหุ้น เศรษฐกิจยังคงมีแนวโน้มเติบโตอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มหุ้นขนาดกลางและเล็ก รวมถึงการเติบโตในตลาดหุ้นยุโรปที่มีมูลค่าน่าสนใจเมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากการเมืองและปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตา
อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐ อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมคริปโต ได้แก่
1.การลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย : นักลงทุนมักจะย้ายเงินลงทุนจากสินทรัพย์เสี่ยงไปยังสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ หรือพันธบัตร ซึ่งอาจทำให้ราคาคริปโตลดลง
2.ความเชื่อมั่นของตลาด : หากเศรษฐกิจถดถอย ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงเช่นคริปโตเคอร์เรนซีก็จะลดลง
3.นโยบายการเงิน : หากธนาคารกลางสหรัฐมีการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การลดดอกเบี้ย อาจทำให้สินทรัพย์ดิจิทัลเช่นบิทคอยน์กลับมาน่าสนใจอีกครั้งเนื่องจากการหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นในสภาพแวดล้อมดอกเบี้ยต่ำ
4.การใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน : ในระยะยาว หากคริปโตเคอร์เรนซียังคงมีการนำไปใช้งานในวงกว้าง จะช่วยเสริมความน่าเชื่อถือและความมั่นคงของตลาดคริปโต
ดังนั้นนักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ในการวางแผนการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี และควรมีการกระจายการลงทุนเพื่อบริหารความเสี่ยง.
ทั้งนี้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในฟันเฟืองหลักเศรษฐกิจของโลก ย่อมส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมคริปโตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผลกระทบเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ ดังนี้
1.ความเสี่ยงในการลงทุนเพิ่มขึ้น
การไหลออกของเงินทุน : เมื่อนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจ พวกเขามักจะถอนเงินออกจากสินทรัพย์เสี่ยง เช่น คริปโตเคอร์เรนซี เพื่อไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ หรือพันธบัตรรัฐบาล ส่งผลให้ราคาคริปโตตกต่ำ
ความผันผวนสูง : ในช่วงภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน ความผันผวนของราคาคริปโตจะสูงขึ้น ทำให้นักลงทุนรายย่อยที่ไม่มีประสบการณ์สูญเสียเงินลงทุนได้ง่าย
2.การปรับตัวของนโยบายการเงิน
การขึ้นอัตราดอกเบี้ย : เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งอาจกดดันให้ราคาคริปโตที่อ้างอิงกับดอลลาร์ลดลง
การควบคุมที่เข้มงวดขึ้น : ในช่วงภาวะวิกฤต รัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแลอาจเพิ่มมาตรการควบคุมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม
3. ความเชื่อมโยงกับสินทรัพย์อื่นๆ
ความสัมพันธ์กับตลาดหุ้น : คริปโตมักมีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้น เมื่อตลาดหุ้นตกต่ำ ราคาคริปโตก็มักจะปรับตัวลดลงตามไปด้วย
ผลกระทบต่อภาคธุรกิจ : ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอาจส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคริปโต เช่น บริษัทเทคโนโลยีบล็อกเชน หรือแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน ทำให้บริษัทเหล่านี้ประสบปัญหาทางการเงิน
4.โอกาสในการเติบโต
การนำเทคโนโลยีบล็อกเชนไปใช้ : แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่ก็เป็นโอกาสสำหรับการพัฒนาและนำเทคโนโลยีบล็อกเชนไปใช้ในภาคส่วนต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
การเกิดโครงการใหม่ๆ : ในช่วงเวลาที่ตลาดซบเซา อาจมีโครงการใหม่ๆ ที่มีความคิดสร้างสรรค์และมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาวเกิดขึ้น
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมคริปโตในวงกว้าง ทั้งในด้านลบและด้านบวก นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจและข่าวสารเกี่ยวกับคริปโตอย่างใกล้ชิด และกระจายความเสี่ยงในการลงทุน
นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด : ก่อนตัดสินใจลงทุน ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโครงการคริปโตที่สนใจอย่างละเอียด รวมถึงเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังและทีมพัฒนา
กระจายความเสี่ยง : ไม่ควรลงทุนในคริปโตเพียงเหรียญเดียว ควรกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์อื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยง
มีวินัยทางการเงิน : การลงทุนในคริปโตมีความเสี่ยงสูง ควรตั้งเป้าหมายการลงทุนและมีวินัยในการปฏิบัติตามแผน
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ : หากยังไม่มั่นใจในการตัดสินใจลงทุน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน
ทั้งนี้ข้อมูลนี้เป็นเพียงข้อมูลทั่วไป ไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน ผู้ลงทุนควรตัดสินใจด้วยตนเอง