นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (14 ส.ค.) ที่ระดับ 35.03 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 35.16 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.85-35.25 บาท/ดอลลาร์ (ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดรับรู้คำวินิจฉัยคดีถอดถอนนายกฯ และ ช่วงทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ) โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ทดสอบโซนแนวรับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ที่เราได้ประเมินไว้ (แกว่งตัวในช่วง 34.99-35.17 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตามรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม ที่ชะลอลงสู่ระดับ 2.2% (+0.0%m/m) ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ทำให้ผู้เล่นในตลาดมีความมั่นใจมากขึ้นต่อแนวโน้มการชะลอของเงินเฟ้อในฝั่งสหรัฐฯ (ดัชนี PPI มีความสอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อ PCE ที่เฟดติดตามพอสมควร)
นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนเพิ่มเติม จากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำ (XAUUSD) ทยอยปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องทดสอบโซนแนวต้านแถว 2,470 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่ราคาทองคำจะย่อตัวลงมาบ้างตามแรงขายทำกำไร
สำหรับวันนี้ ไฮไลต์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกรกฎาคมของสหรัฐฯ ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) จะชะลอลงต่อเนื่อง ทำให้เฟดคลายกังวลต่อปัญหาเงินเฟ้อและเพิ่มโอกาสที่เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยได้ราว 4 ครั้งในปีนี้ (ตามมุมมองล่าสุดของผู้เล่นในตลาด) อย่างไรก็ดี ควรระวังความผันผวนในตลาดการเงิน หากอัตราเงินเฟ้อ CPI ออกมาสูงกว่าคาด สวนทางกับสิ่งที่ตลาดคาดหวัง
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI เดือนกรกฎาคม ของอังกฤษ หลังในวันก่อนหน้า รายงานข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมของ BOE ในปีนี้ลงบ้าง ซึ่งภาพดังกล่าวมีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ในช่วงวันที่ผ่านมา
ทางฝั่งเอเชียนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามผลการประชุมธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ซึ่งอาจเริ่มมีการส่งสัญญาณพร้อมทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ จากระดับปัจจุบันที่ 5.50% หลังอัตราเงินเฟ้อของนิวซีแลนด์ได้ชะลอลงต่อเนื่อง ส่วนภาพเศรษฐกิจเริ่มมีแนวโน้มชะลอเช่นกัน
และในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีถอดถอนนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงเวลา 15.00 น.เป็นต้นไป โดยควรระวังความผันผวนในตลาดการเงิน หากผู้เล่นในตลาดต่างกังวลต่อสถานการณ์ความไม่แน่นอนของการเมืองไทยมากขึ้น
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า อาจต้องปรับมุมมองต่อแนวโน้มเงินบาทใหม่ จากที่ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม เราได้ประเมินว่า เงินบาทมีโอกาสผันผวนในลักษณะ Sideways Up หรือทยอยอ่อนค่าลงได้บ้าง จากปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่า เช่น ปัจจัยเสี่ยงการเมืองในประเทศ เป็นต้น กอปรกับในเชิงเทคนิคัล เงินบาท (USDTHB) ได้ส่งสัญญาณกลับตัว Bullish Reversal ใน Time Frame รายวัน ทำให้เรามีความมั่นใจต่อมุมมองดังกล่าว ทว่า การแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินบาทในช่วงวันก่อนหน้าจนหลุดโซนแนวรับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์นั้น ได้ทำให้ภาพ Bullish Reversal ดังกล่าวเปลี่ยนเป็นโดยสิ้นเชิง ทำให้เราประเมินใหม่ว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ sideways ในช่วงหลังจากนี้ โดยเงินบาทอาจแกว่งตัวแถวโซนแนวรับสำคัญ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ไปก่อน แต่หากเงินบาทแข็งค่าหลุดโซนดังกล่าวได้ชัดเจนอาจแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ทดสอบโซนแนวรับถัดไปแถว 34.85 บาทต่อดอลลาร์ได้ ขณะที่โซนแนวต้านของเงินบาทนั้นจะค่อนข้างหนาแน่น ตั้งแต่ช่วง 35.30 บาทต่อดอลลาร์ และโซน 35.50 บาทต่อดอลลาร์ ที่จะเป็นโซนแนวต้านสำคัญ
ทั้งนี้ แม้เราจะปรับมุมมองต่อแนวโน้มเงินบาท จาก Sideways Up เป็นเพียง Sideways ทว่า เงินบาทยังมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้าง โดยเฉพาะในช่วงวันนี้ หากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าคาด หรือ ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลต่อสถานการณ์การเมืองไทยมากขึ้น หลังรับรู้คำวินิจฉัยคดีถอดถอนนายกฯ ซึ่งอาจส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติทยอยขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติม (อาจเห็นการทยอยขายทำกำไรบอนด์ หลังเงินบาทแข็งค่าขึ้น พร้อมการปรับตัวลดลงของบอนด์ยิลด์) กดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงได้