สัปดาห์ที่ผ่านมา สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุนได้ออกมาเปิดเผยถึงผลสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 24 ราย เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนตลาดหุ้นไตรมาสที่ 4 ปี 2567 โดยประมาณการเป้าหมายดัชนีหุ้นสิ้นปีนี้ตัวเลขเฉลี่ยอยู่ที่ 1ป494 จุดเท่านั้น
แม้จะมีปัจจัยหนุนจากกองจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ วงเงิน 150,000 ล้านบาท และเริ่มตะลุยซื้อหุ้นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา การแจกเงิน 10,000 บาท การไหลกลับของนักลงทุนต่างประเทศ และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยลดลงของสหรัฐฯ แต่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ส่วนใหญ่ไม่ได้มองตลาดหุ้นในโค้งสุดท้ายปีนี้อย่างสดใสนัก
แต่มองว่า จากจุดปิดที่ 1ป,444 จุด เมื่อวันศุกร์ที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา ดัชนีจะวิ่งต่อไปจนถึงสิ้นปีอีกประมาณ 50 จุดเท่านั้น หรือเฉลี่ยปรับตัวขึ้นวันละไม่ถึง 1 จุดในแต่ละวันทำการนับจากนี้
ปัจจัยลบที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ยกขึ้นมาคือ สถานการณ์การเมืองในต่างประเทศ การลดมาตรการผ่อนคลายทางการเงินในเชิงปริมาณ หรือ QE และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา
แม้จะมีความคาดหมายว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินอาจลดดอกเบี้ยลง 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ 2.25% แต่ไม่ได้ช่วยให้นักวิเคราะห์หลักทรัพย์มีมุมมองตลาดหุ้นสดใสขึ้นเท่าใดนัก
ส่วนการคาดหมายแนวโน้มตลาดหุ้นในปี 2568 ประเมินกันว่า ดัชนีจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,365 จุดถึง 1,634 จุด โดยสิ้นปีจะอยู่ที่ประมาณ 1ป614 จุด
คำแนะนำของสมาคมนักวิเคราะห์แนะให้นักลงทุนแบ่งเงินออม ลงทุนในหุ้นเพียง 32% เท่านั้น สะท้อนให้เห็นว่า การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงสูง จึงต้องแบ่งเงินออมเพียงส่วนน้อยเพื่อลงทุนเท่านั้น
ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์โบรกเกอร์หลายแห่ง มีมุมมองในเชิงบวกกับภาวะการลงทุนในโค้งสุดท้ายหรือไตรมาสที่ 4 ปีนี้ โดยประเมินว่า ดัชนีปลายปีจะยืนเหนือ 1,500 จุด หรือไปถึง 1,540 จุด
ส่วนปีหน้าหุ้นจะพุ่งทะลุ 1,700 จุด จากปัจจัยหนุนกองทุนวายุภักษ์ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แนวโน้มดอกเบี้ยขาลงทั่วโลก ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนฟื้นตัว และการกลับมาของนักลงทุนต่างชาติ
โบรกเกอร์หลายสำนักมีมุมมองตลาดหุ้นในแง่ดี ประเมินดัชนีจะฟื้นตัวต่อเนื่องจากนี้ถึงสิ้นปี และความคึกคักจะข้ามไปถึงปีหน้า แต่มุมองที่สะท้อนมาจากสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุนมีความแตกต่าง เพราะสมาคมนักวิเคราะห์ไม่ได้มองแนวโน้มการลงทุนสวยหรูนัก แต่เป็นการมองอย่างอนุรักษ์ โดยให้น้ำหนักกับปัจจัยในเชิงลบมากกว่า
การมีของกองทุนรวมวายุภักษ์ 150,000 ล้านบาท แนวโน้มการลดดอกเบี้ย การไหลกลับของนักลงทุนต่างชาติ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งเป็นปัจจัยบวก ไม่อาจกลบปัจจัยลบจากสถานการณ์การเมืองในต่างประเทศ ไม่อาจหักล้างกับการยุติ QE และเศรษฐกิจโลกซบเซาได้
ประมาณการเป้าหมายดัชนีสิ้นปีนี้และสิ้นปีหน้า จึงเป็นตัวเลขที่อาจไม่ถูกใจนักลงทุนมากนัก และยังแนะนำให้จัดพอร์ตหรือเงินลงทุนหุ้นในประเทศไว้เพียง 32% เท่านั้น
นักลงทุนที่มองโลกสวย ตั้งความคาดหวังกับแนวโน้มตลาดหุ้นไว้สูง ควรจะฟังมุมมองของสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เพื่อทบทวนและประเมินตลาดหุ้นใหม่ และกำหนดกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคลองกับสถานการณ์
เพราะแนวโน้มหุ้นยังไม่ได้สวยปิ๊งเสียทีเดียว ยังมีปัญหาสงครามตะวันออกกลาง เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มถดถอย จนต้องลดดอกเบี้ยกระตุ้น และนักลงต่างชาติยังไม่กลับมา
ดัชนีหุ้น 1,500 จุด สิ้นปีนี้ไม่รู้จะได้เห็นหรือไม่ แม้จะมี "วายุภักษ์" เป็นกองหนุนสำคัญก็ตาม