xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อไหร่ตลาดหุ้นไทยจะฟื้นอย่างจีน / สุนันท์ ศรีจันทรา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในรอบเดือนกันยายนที่เพิ่งผ่านพ้นมา ตลาดหุ้นจีนเป็นตลาดหุ้นที่พุ่งทะยานมากที่สุดในโลก โดยดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปรับตัวขึ้นมาปิดมาปิดที่ 4,017 จุด หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 20.97% โดยก่อนหยุดยาวฉลองวันชาติ หรือโกลเด้นวีก เมื่อวันจันทร์ที่ 3 กันยายน พุ่งขึ้นวันเดียว 314 จุด หรือ 8.48% ซึ่งเป็นผลพวงของการประกาศมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่

เศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีนซบเซามาหลายปี โดยความพยายามผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายครั้งไม่ประสบผลสำเร็จ

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา ธนาคารชาติจีนได้ประกาศมาตรการครั้งใหญ่ เพื่อขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจปีนี้เติบโต 5% ตามเป้าหมาย โดยลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 7 วันจาก 1.7% เหลือ 1.5%

ลดอัตราส่วนกันเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลง 0.5% ซึ่งจะเพิ่มสภาพคล่องเข้าระบบ 1 ล้านล้านหยวน ลดเงินดาวน์ขั้นต่ำสำหรับการซื้อบ้านมือสองจาก 25% เหลือ 15% และลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่พักอาศัยลง 0.5%

รวมทั้งอนุญาตให้กองทุน บริษัทหลักทรัพย์ และบริษัทประกันภัยเข้าถึงแหล่งเงินทุนพิเศษที่สามารถใช้ทรัพย์สินค้ำประกันเพื่อแลกเปลี่ยนสภาพคล่องจากธนาคารชาติในการซื้อหุ้น และการจัดตั้งแหล่งเงินทุนเฉพาะสำหรับบริษัทจดทะเบียนและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เพื่อให้สามารถซื้อหุ้นคืนหรือเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นได้

ตลาดหุ้นจีนขานรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารชาติจีนในทันที โดยดีดตัวขึ้นอย่างร้อนแรงในวันแรก และวิ่งต่อเนื่องไม่หยุด จนกลายเป็นตลาดหุ้นที่นักลงทุนทั่วโลกอยากให้เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นประเทศตัวเอง ซึ่งรวมทั้งบรรดาแมลงเม่าในตลาดหุ้นไทย

รัฐบาลพรรคเพื่อไทย พยายามผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และฟื้นฟูตลาดหุ้น ตั้งแต่ช่วงนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ยังไม่บรรลุเป้าหมายเท่าใดนัก จนตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดหุ้นที่ย่ำแย่ที่สุดในโลก เมื่อปี 2566 โดยดัชนีปรับตัวลงประมาณ 15% ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น และหลายตลาดหุ้นสร้างจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์

ความพยายามเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน และปลุกบรรยากาศการลงทุนให้กระเตื้องขึ้น เริ่มเห็นผลในปลายยุคนายกฯ เศรษฐา หลังจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประกาศใช้มาตรการ UPTICK RULE ป้องกันการทำ SHORT SELL หรือการยืมหุ้นมาขายโดยการทุบราคาหุ้น และมาตรการเข้มข้นในการควบคุมโปรแกรมการซื้อขายหรือ ROBOT TRADE ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม

รายการ SHORT SELL ลดฮวบลงทันที เหลือระดับ 3-5% จากเดือนมิถุนายนที่การทำ SHORT SELL เฉลี่ยวันละ 12.88% ของมูลค่าการซื้อขายหุ้นโดยรวม ขณะที่ดัชนีหุ้นเริ่มปรับตัวขึ้น

การประกาศจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ วงเงิน 150,000 ล้านบาท เป็นอีกมาตรการสำคัญที่พลิกฟื้นตลาดหุ้น และเป็นแรงกดดันให้ต่างชาติที่ขายหุ้นออกต่อเนื่องนับจากต้นปี ทยอยกลับมาซื้อหุ้นคืน โดยเฉพาะต่างชาติที่ทำรายการ SHORT SELL ไว้ และยังไม่ได้ซื้อหุ้นคืน เพื่อส่งมอบหุ้นที่ยืมมาขาย เพราะหากรอให้กองทุนวายุภักษ์จัดตั้งอาจต้องซื้อหุ้นคืนในราคาแพง ซึ่งตลอดเดือนกันยายน ต่างชาติมียอดซื้อหุ้นสุทธิ 29,177 ล้านบาท

ตั้งแต่ประกาศใช้มาตรการ UPTICK RULE และมาตรการคุมเข้ม ROBOT TRADE รวมทั้งการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ ดัชนีปรับตัวขึ้นมาแล้วประมาณ 160 จุด โดยเคยขึ้นไปสูงสุดที่ระดับ 1,462 จุด แต่วิ่งไปต่อไม่ได้ และเริ่มอ่อนตัวลงมา เนื่องจากมาตรการกระตุ้นตลาดหุ้นหมดฤทธิ์ โดยนักลงทุนซึมซับรับข่าวดีหมดสิ้นแล้ว

ถ้าไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ ที่เรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนได้ ถ้าไม่มีข่าวดีชิ้นใหม่ๆ เข้ามาปลุกตลาดหุ้น ในระยะสั้นคงไม่ได้เห็นดัชนีวิ่งไปที่ 1,500 จุด แต่จะย่ำอยู่แถว 1,450 จุดเท่านั้น แม้กองทุนวายุภักษ์จะหอบเงิน 150,000 ล้านบาทเริ่มลงทุนตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้ก็ตาม

นักลงทุนคงมีความรู้สึกเหมือนกันว่า อยากให้รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ ที่เรียกคืนความเชื่อมั่นของนักลงทุนเช่นเดียวกับจีน เพราะตลาดหุ้นไทยจะได้วิ่งระเบิดเถิดเทิงบ้าง

แต่จะมีโอกาสได้เห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังฟุบหนักให้ฟื้นหรือไม่ จะมีโอกาสได้เห็นดัชนีหุ้นพุ่งทะยานไป 1,800 จุดตามที่รัฐมนตรีคลังคุยโวไว้หรือไม่
ยังเป็นคำถามที่พุ่งตรงไปยังรัฐบาลอุ๊งอิ๊ง








กำลังโหลดความคิดเห็น