xs
xsm
sm
md
lg

รอฟังข่าวดี! ธปท.เร่งสรุปเกณฑ์จ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิตกลับไปเหลือ 5% พร้อมทบทวน LTV

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ธนาคารแห่งประเทศไทย เตรียมหารือสถาบันการเนและผู้ประกอบการ “ธุรกิจบัตรเครดิต” เรื่องเกณฑ์จ่ายขั้นต่ำ คาดได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้ โดยก่อนหน้านี้ รมว.คลังเสนอให้กลับไปใช้ 5% จากปัจจุบันอยู่ในอัตรา 8% พร้อมติดตามสถานการณ์สินเชื่อบ้านอย่างใกล้ชิด เพื่อพิจารณาตัวเลขหรือข้อมูลใหม่ทบทวนมาตรการ LTV ให้เกิดความเหมาะสม ยันมาตราการ LTV ไม่ได้ทำให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อน้อยลง

น ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.อยู่ระหว่างการทบทวนและหารือร่วมกับผู้ประกอบการธุรกิจบัตรเครดิต ในเรื่องของการปรับเกณฑ์ชำระขั้นต่ำบัตรเครดิต จากปัจจุบันปรับขึ้นมากอยู่ที่ 8% จากก่อนหน้านี้จ่ายขั้นต่ำ 5% รวมถึงเกณฑ์ LTV ด้วย ซึ่ง ธปท.ได้หารือกับสถาบันการเงินและผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง เพื่อพิจารณาทบทวนข้อมูลใหม่ที่เข้ามา เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับเศรษฐกิจและเสถียรภาพสถาบันการเงิน เพื่อหาข้อสรุปในเร็วๆ นี้ โดยปัจจุบันคณะกรรมการนโยบายการเงินพิจารณาแล้วเห็นว่ายังอยู่ในระดับที่เหมาะสม

“ธปท.หารือกับผู้ประกอบการในฐานะเจ้าหนี้ ซึ่งจะทราบผลในเร็วๆ นี้ ซึ่งจะต้องเร่งให้เกิดความชัดเจน เพราะหากมีการเปลี่ยนแปลงอะไร ต้องพิจารณาถึงผลกระทบโดยรวมของระบบ ให้เวลาทางสถาบันการเงินต้องมีเวลาในการปรับระบบต่างๆ และต้องพิจรณาหากปรับแล้วลูกหนี้จ่ายได้หรือจ่ายไม่ได้ จำเป็นต้องมีมาตรการเพิ่มเติมตามมาหรือไม่ ซึ่งไม่ใช่แค่ปรับขึ้นหรือลงแต่ต้องมองในภาพกว้างด้วย” ผู้ช่วยผู้ว่าการกล่าว

ทำไมแบงก์ชาติไม่ต่อการผ่อนคลายมาตรการ LTV

บทความของนายดอน นาครทรรพ ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศไม่ต่ออายุการผ่อนคลายมาตรการเงินดาวน์ขั้นต่ำในการกู้ซื้อบ้าน หรือที่เรียกสั้นๆ ว่ามาตรการ LTV (ย่อมาจาก Loan to value) ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นไป สำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ และผู้ที่อยากจะกู้ซื้อบ้าน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยลบที่ประดังเข้ามา เพิ่มเติมจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยและต้นทุนการก่อสร้างที่ปรับสูงขึ้น

ส่วน ธปท. มีหน้าที่ดูแลเศรษฐกิจโดยรวม ไม่ได้มีหน้าที่ดูแลธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งเป็นพิเศษ ยกเว้นธุรกิจสถาบันการเงิน การพิจารณาการสิ้นสุดการผ่อนคลายมาตรการ LTV เป็นการชั่งน้ำหนักระหว่างความจำเป็นในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการสะสมความเสี่ยงในระบบการเงิน

เกณฑ์ LTV มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมวินัยทางการเงิน (ห้ามการกู้ซื้อบ้านมือเปล่า สำหรับบ้านราคาสูงและบ้านหลังที่สองขึ้นไป) ป้องกันการก่อหนี้เกินตัว ลดความเสี่ยงสินเชื่อเงินทอน (กู้เงินได้มากกว่ามูลค่าบ้าน) และลดความเสี่ยงของการเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อาจนำไปสู่ปัญหาเสถียรภาพของระบบการเงินได้ ซึ่งต้องบอกว่าเกณฑ์ LTV ปรกติของไทยนั้นหย่อนที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับหลายประเทศที่มีเกณฑ์แบบเดียวกัน

อย่างไรก็ดี การระบาดของโควิด-19 กระทบเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง ธปท. จึงเห็นความจำเป็นในการผ่อนผันเกณฑ์ LTV เพื่อเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการดูแลเศรษฐกิจไทย

ทั้งนี้ วัตถุประสงค์หลักของการผ่อนผันเกณฑ์ LTV ในปีที่แล้วไม่ได้อยู่ที่การช่วยให้ภาคอสังหาริมทรัพย์กลับไปสู่จุดเดิมก่อนการระบาดของโควิด-19 แต่อยู่ที่การประคับประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวม ผ่านการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นภาคธุรกิจที่มีความเชื่อมโยงสูงกับอีกหลายภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจ

ซึ่งหากไปดูการประเมินเศรษฐกิจไทยโดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะพบว่า ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในปีหน้าจะสูงกว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ การต่ออายุการผ่อนคลายมาตรการ LTV เพื่อให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง จึงหมดความจำเป็นลง ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับการทยอยปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่ความจำเป็นในการดูแลเศรษฐกิจด้วยอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ต่ำกว่าปกติหมดไป

แน่นอนว่าการสิ้นสุดการผ่อนคลายมาตรการ LTV ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความต้องการกู้ซื้อบ้าน แต่ตราบใดที่ภาวะเศรษฐกิจยังเป็นการฟื้นตัวต่อเนื่อง น่าจะแค่ทำให้การฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ต้องลากยาวออกไป โดยไม่ถึงขั้นสะดุดลง ส่วนหนึ่งเนื่องจากสถานะของภาคอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน สะท้อนจากข้อมูลการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ข้อมูลที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ และข้อมูลอุปทานคงค้างดีขึ้นกว่าในปีที่แล้วมาก แม้จะยังไม่กลับเป็นปกติก็ตาม

อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะการผ่อนคลายมาตรการ LTV ใช้เฉพาะกับผู้ที่กู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยราคามากกว่า 10 ล้านบาท และผู้ที่กู้สัญญาที่สองขึ้นไป ซึ่งเป็นส่วนน้อยของตลาด ขณะที่ส่วนใหญ่ของตลาด (เกือบ 90% ในรูปของจำนวนบัญชี มากกว่า 70% ในรูปของมูลค่า) เป็นการกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาทสัญญาแรก สามารถกู้ได้สูงสุด 100% อยู่แล้ว (110% ถ้ารวมสินเชื่อ Top-up หรือสินเชื่อเพื่อการตกแต่งบ้าน) ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากการสิ้นสุดการผ่อนคลายมาตรการ LTV แต่อย่างใด

ในอีกด้านหนึ่ง การไม่ต่อการผ่อนคลายมาตรการ LTV ช่วยลดความกังวลของบริษัทจัดอันดับเครดิตที่มีต่อคุณภาพพอร์ตสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน (จากข้อมูลในอดีต สินเชื่อที่มี LTV สูง หรือเงินดาวน์ต่ำจะมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้มากกว่าสินเชื่อที่มี LTV ต่ำ หรือเงินดาวน์สูง) และลดความเสี่ยงจากการเก็งกำไรที่อาจเกิดขึ้นหากมีการผ่อนคลายมาตรการ LTV นานเกินไป

จริงอยู่ว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของไทยในปัจจุบันไม่ได้เอื้อต่อการเก็งกำไรมากนัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการเก็งกำไรในอนาคต โดยจากประสบการณ์ของหลายประเทศ ซึ่งเศรษฐกิจถูกกระทบจากวิกฤตโควิด-19 เช่นกัน ต้องประสบกับปัญหาฟองสบู่ราคาที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะหลังจากการเปิดประเทศ

ทั้งนี้ จากข้อมูลที่สถาบันการเงินส่งให้ ธปท. พบว่า ในปัจจุบัน ทั้งจำนวนบัญชีและมูลค่าสินเชื่อปล่อยใหม่สำหรับที่อยู่อาศัยราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป ปรับสูงขึ้นกว่าระดับก่อนเกิดโควิด-19 อย่างมีนัย โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ที่ปกติไม่ได้ใช้ช่องทางสินเชื่อมากนัก ดังนั้น การขยายเวลาการผ่อนคลายมาตรการ LTV ออกไปอาจนำไปสู่ความเสี่ยงของการเก็งกำไรที่อยู่อาศัยที่มีระดับปานกลางถึงบนได้


กำลังโหลดความคิดเห็น