วายแอลจีชี้ทองคำยังมีโอกาสปรับขึ้นได้ต่อ หลังระยะสั้นพยายามสร้างฐานที่โซน 2,400 ดอลลาร์สหรัฐ แม้หลังราคาทำระดับสูงสุดครั้งใหม่จะมีการย่อตัวลงมา แต่เมื่อราคาสร้างฐานได้ ภาพรวมในปีนี้ยังสามารถไปถึงเป้าหมาย 2,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ได้ พร้อมเปิดปัจจัยบวกยังแน่น ทั้งนโยบายดอกเบี้ยเฟดที่ใกล้เข้าสู่วงจรขาขึ้นขาลง ความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ และความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า หลังราคาทองคำตลาดโลกปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง จนขึ้นทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งที่ 2,483 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ และเกิดแรงขายทำกำไรสลับเข้ามาบ้าง ทำให้ราคามีการพักฐานลงมาในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ราคายังพยายามสร้างฐานที่โซน 2,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ดังนั้นเมื่อการสร้างฐานเสร็จสิ้น ราคามีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ต่อตามแนวโน้มทองคำในระยะยาวที่ยังคงแข็งแกร่ง โดยวายแอลจียังคงเป้าหมายราคาทองคำในปีนี้ว่ายังสามารถขึ้นทดสอบได้ถึงระดับ 2,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์
ทั้งนี้ ปัจจัยสนับสนุนให้ทองคำยังเป็นขาขึ้นในปีนี้ยังคงมีอยู่อย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะปัจจัยการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อย่างน้อย 2 ครั้งในปีนี้ ซึ่งจาก CME FedWatch Tool บ่งชี้คาดการณ์ตลาดว่า เฟดจะเริ่มต้นวงจรดอกเบี้ยขาลงในการประชุมเดือน ก.ย. และมีโอกาสปรับลดได้อีกก่อนจะสิ้นสุดปี 2567 ซึ่งจะขึ้นอยู่กับข้อมูลอัตราเงินเฟ้อที่เจ้าหน้าที่เฟดหลายท่านระบุว่าเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินนโยบายในอนาคต
อย่างไรก็ดี นอกจากเรื่องอัตราดอกเบี้ยเฟดแล้ว ปัจจัยความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงผู้นำของสหรัฐฯ ซึ่งอาจมีผลต่อนโยบายเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นอีกปัจจัยสนับสนุนทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย โดยล่าสุด นางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดี มีโอกาสขึ้นมาเป็นแคนดิเดตจากพรรคเดโมแครต ในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แทนที่ นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน และทำให้คะแนนนิยมขึ้นมาใกล้เคียงกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ แคนดิเดตจากพรรครีพับลิกัน ส่งผลให้การเลือกตั้งยังมีความไม่แน่นอนที่สูงมาก และปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงมีความน่าเป็นห่วง เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันยังคงยืดเยื้อในหลายภูมิภาค และการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ ซึ่งมีโอกาสที่จะนำไปสู่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน รวมไปถึงยุโรป ในประเด็นการขึ้นภาษีด้วยเช่นกัน ดังนั้น จึงเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ต้องคอยจับตาอย่างต่อเนื่อง และจะเป็นปัจจัยให้มีแรงซื้อพยุงเมื่อราคาทองคำมีการพักตัวลง
ขณะที่ในระยะยาว ธนาคารกลางทั่วโลกยังทยอยสำรองทองคำเพิ่มขึ้น ท่ามกลางกระแส De-Dollarization หรือการลดบทบาทสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าดีมานด์จากจีนในระยะสั้นจะเริ่มชะลอไปบ้าง จากภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตได้ต่ำกว่าคาดการณ์ ในขณะที่ล่าสุด สำนักข่าวบลูมเบิร์กได้รายงานว่า อินเดียเตรียมปรับลดอัตราภาษีนำเข้าทองคำจาก 15% เหลือ 6% ซึ่งเป็นการกระตุ้นดีมานด์เพิ่มเติม
"นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในช่วงนี้ วายแอลจีแนะนำว่าควรเน้นการเก็งกำไรจากการแกว่งตัวในระยะสั้น เนื่องจากมีหลากหลายปัจจัยโดยเฉพาะการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่สร้างความผันผวนให้ราคาสินทรัพย์การลงทุนทั่วโลก โดยแนะนำรอการเข้าซื้อ เมื่อเสร็จสิ้นช่วงการพักฐานของราคาในระยะสั้น โดยรอการย่อตัวลงทดสอบแนวรับ 2,383-2,368 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ และเมื่อราคามีการแกว่งตัวขึ้นให้รอขายทำกำไรที่โซนแนวต้าน 2,422-2,440 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ส่วนทองคำแท่ง 96.5% ของไทยมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับ 40,850-40,600 บาทต่อบาททองคำ และกรอบแนวต้านที่โซน 41,500-41,800 บาทต่อบาททองคำ"