xs
xsm
sm
md
lg

กลุ่มแบงก์ ครึ่งปีหลังยังเหนื่อยอีก NPL ส่อแววพุ่งต่อ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผ่านพ้นไปแล้วกับการรายงานผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 67 ของกลุ่มแบงก์ มีแบงก์ที่กำไรโตโดดเด่น และกำไรหดตัว ตัวแรง แต่ที่เห็นชัดแน่นอน คือ แนวโน้มของ NPL ของหลายๆ แบงก์ทยอยเพิ่มขึ้น และบางแห่งก็ยังทรงตัวสูง โบรกฯส่องหุ้นกลุ่มแบงก์ครึ่ง ปีหลังยังเผชิญความท้าทาย โดยเฉพาะการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ หลังจากทิศทาง NPL ส่อแววสูงขึ้นอีก อาจกระทบให้การปล่อยสินเชื่อ เข้มงวดขึ้น และ NIM เริ่มทรงตัวตามดอกเบี้ย ทำให้ขาดปัจจัยหนุน

ธนาคาร กำไร 1H/67 (ล้านบาท) เปลี่ยนแปลง NPL H1/67 NPL สิ้นปี 66
TTB 10,689 +21% 2.64% 2.62%
KBANK 26,139 +20% 3.18% 3.19%
KTB 22,274 +10.10% 3.12% 3.08%
BBL 22,330 +4% 3.20% 2.70%
CIMBT 1,294 -5% 2.90% 3.30%
TISCO 3,482 -5% 2.44% 2.22%
SCB 21,295 -6.90% 3.34% 3.44%
BAY 15,751 -8% 3.05% 2.53%
LHFG 890 -25.90% 3% 2.36%
CREDIT 1,270 -30.60% 4.50% 4.20%
KKP 2,275 -35% 4.10% 3.30%

นายกรกช เสวตร์ครุตมัต ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า รายงานผลการดำเนินครึ่งปี แรกของกลุ่มแบงก์ออกมาแล้ว จะเห็นว่ากำไรดีกว่าคาดเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากกำไร Mark to market ของการลงทุนช่วย หนุนผลการดำเนินงาน และรายได้จากดอกเบี้ยที่ยังเป็นบวก

แต่ยังคงเห็นแนวโน้มของ NPL ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้มองภาพของกลุ่มแบงก์ยังคงเผชิญความท้าทายในช่วงครึ่งปีหลัง มากขึ้น โดยเฉพาะ NPL ยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และเริ่มเห็นสัญญาณการกระจายตัวของ NPL ไปยังกลุ่มลูกค้าอื่นๆ มากขึ้น นอกเหนือ จากกลุ่มลูกค้าสินเชื่อบ้าน รถยนต์ สินเชื่อส่วนบุคคล และเอสเอ็มอี โดยลูกค้ากลุ่มผู้ประกอบการขนาดใหญ่อาจจะต้องมีความระมัดระวังมาก ขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้เป็นความท้าทายค่อนข้างมากของการปล่อยสินเชื่อของกลุ่มแบงก์

ขณะเดียวกัน การที่จะเห็นส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกในครึ่งปีหลัง คงเป็นไปได้ค่อนข้างยาก แต่ คาดว่าจะทรงตัวจากครึ่งปีแรกมากกว่า และการที่ธนาคารต่างๆ จะไปรุกตลาดกลุ่มลูกค้าที่ให้ผลตอบแทนสูง แลกกับความเสี่ยงที่สูงคงจะ เห็นภาพดังกล่าวได้ยากเช่นกัน จากสัญญาณของ NPL ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ธนาคารคงเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าที่มีคุณภาพมากกว่า ซึ่งส่งผลต่อรายได้ จากดอกเบี้ยที่อาจไม่ได้เข้ามาเพิ่มมากนัก รวมถึงรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยยังคงชะลอตัว เป็นความท้าทายที่จะเกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม มองว่าหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่แนะนำ "ซื้อ" เลือก KTB เนื่องจากยังเป็นธนาคารที่เห็นผลการดำเนินงาน เติบโตในระดับที่ดีต่อเนื่อง และมี Valuation ค่อนข้างถูกในกลุ่ม โดย P/BV ที่ 0.5 เท่า แต่มี ROE สูงเกือบ 10% อีกทั้งจะได้รับ ประโยชน์จากสินเชื่อส่วนภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนโครงการภาครัฐที่ทยอยออกมาในครึ่งปีหลัง ทำให้ยังมีโอกาสเห็นการขยายตัวของสิน เชื่อได้ ให้ราคาเป้าหมาย 18.70 บาท/หุ้น

นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.พาย กล่าวว่า ภาพรวมของกลุ่มแบงก์ในครึ่งปีแรกถือว่าออกมาใกล้เคียง กับที่คาดไว้ มาจากการเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น จากการที่ดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับที่สูง และ NIM ที่ยังสูง รวมถึงรายได้จาก การ Mark to market ของการลงทุนในต่างประเทศ และอัตราแลกเปลี่ยน คาดว่าส่วนหนึ่งจะมาจากการที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาแลกเงิน เป็นจำนวนมาก ทำให้มีผลต่อรายได้ในส่วนนี้ แต่ภาพของสินเชื่อยังคงชะลอตัว และ NPL ยังมีแนวโน้มสูงขึ้น

ครึ่งปีหลังนี้ยังมองภาพความท้าทายของกลุ่มแบงก์ในการดำเนินกลยุทธ์ จากการที่สัญญาณ NPL ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้ต้อง มีการควบคุมและคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ส่งผลต่อรายได้จากการให้สินเชื่อที่อาจเริ่มชะลอตัว ตามการให้สินเชื่อที่ยังเห็นการชะลอ ตัวในครึ่งปีหลังเพื่อควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ และการเห็นระดับ NIM ที่เริ่มทรงตัว ทำให้ปัจจัยบวกต่อผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้ค่อน ข้างมีความท้าทายมากขึ้น แต่ยังมองว่ายังเป็นหุ้นที่ยังลงทุนได้จากการที่เป็นกลุ่มที่มีความแข็งแกร่ง มูลค่าหุ้นยังไม่แพง และให้ปันผลที่ดี

แนะนำ "ซื้อ" KTB มองเป็นหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากสินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐเข้ามาหนุนในครึ่งปีหลัง จากการลงทุน โครงการต่างๆ ของภาครัฐที่จะออกมา รวมถึงได้รับประโยขน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ภาครัฐจะทยอยออกมา อีกทั้งการตั้งสำรองฯ ของ KTB ในครึ่งปีหลังคาดว่าจะลดลงหลังจากครึ่งปีแรกคุมคุณภาพสินทรัพย์ไปมาก ทำให้ NPL ในครึ่งปีหลังของ KTB น่าจะเริ่มเห็นการ ทรงตัว ช่วยหนุนผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง อีกทั้งยังมี Valuation ที่ไม่แพง มีผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ดี และให้ราคาเป้าหมายที่ 20 บาท/หุ้น


กำลังโหลดความคิดเห็น