xs
xsm
sm
md
lg

คอนโดฯ เจาะกลุ่มคนรักสัตว์เมกะเทรนด์หรือแค่ตลาดทางเลือก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในภาวะที่ตลาดคอนโดมิเนียมยังชะลอตัวเพราะซัปพลายสะสมในตลาดยังมีอยู่สูงนี้ ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงเดินหน้าจับตลาดคอนโดมิเนียม นอกจากการหาทำเลที่โดดเด่นแล้วยังต้องหาจุดขายให้โครงการใหม่ไปพร้อมๆ กับการขยายฐานลูกค้า และเปิดตลาดและดีมานด์ใหม่ๆ เพิ่มเติม และกลุ่มดีมานด์ใหม่นี้จะต้องเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งกลุ่มผู้บริโภคที่เข้าข่ายว่าจะเป็นกลุ่มตลาดใหม่และมาแรงเพราะมีกำลังซื้อสูง ไม่มีภาระค่าใช้จ่าย คือกลุ่มคนโสด และคนมีครอบครัวแต่ไม่อยากมีลูก และกลุ่มคนรักเลี้ยงสัตว์ หรือเลี้ยงสัตว์แทนลูก เพื่อคลายเหงา ซึ่งกลุ่มดังกล่าวนับวันจะมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น

นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อเพอร์ตี้ ดีเอ็นืเอ จำกัด กล่าวว่า ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เชื่อว่าหลายคนคงได้เห็น ได้ยินเรื่องของคอนโดมิเนียมที่เลี้ยงสุนัข หรือแมวได้มากขึ้น ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้เป็นเรื่องใหม่อะไรในตลาดคอนโดมิเนียม เพราะโครงการคอนโดมิเนียมที่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้นั้นมีมานานแล้ว เพียงแต่จำนวนน้อยมาก และไม่ได้ถูกพูดถึงมากแบบปัจจุบัน อีกทั้งผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมแล้วเปิดให้คนที่อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมนั้นๆ สามารถเลี้ยงสัตว์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสุนัข และแมวได้อาจจะไม่ได้มีโครงการรูปแบบนี้หลายโครงการ หรืออาจจะมีการแบ่งอาคารใดอาคารหนึ่งภายในโครงการเพื่อให้นที่อาศัยภายในอาคารนั้นๆ สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ แต่ปัจจุบันมีผู้ประกอบการบางรายเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมโดยประกาศตั้งแต่ก่อนที่จะเปิดขายเลยว่าโครงการที่จะเปิดขายนี้สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ คนที่ต้องการคอนโดมิเนียมรูปแบบนี้จะได้เลือกซื้อโครงการรูปแบบนี้ คนที่ไม่ต้องการเลี้ยงสัตว์ และอาจจะไม่ต้องการอยู่ร่วมกับชุมชนแบบนี้ก็ต้องไปเลือกซื้อโครงการอื่นๆ

โครงการในอดีตที่สามารถเลี้ยงสัตว์อาจจะย้อนไปมากกว่า 10 ปี เพียงแต่ในอดีตอาจจะไม่มีมากนัก จำนวนยูนิตมีไม่กี่ร้อยยูนิตรวมกัน จำนวนโครงการไม่เกิน 5 โครงการ อีกทั้งยังไม่ได้เป็นที่พูดถึง หรือถูกนำมาเป็น 1 ในปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อคอนโดมิเนียมแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งผู้ประกอบการบางรายมีการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ทั้งโครงการ ไม่มีการแบ่งโซนหรือแยกอาคารแต่อย่างใด เนื่องจากคนในสังคมปัจจุบันมีลูกกันน้อยลงหรือไม่มีลูกเลย อีกทั้งส่วนหนึ่งเลือกที่จะไม่แต่งงาน หรือเลือกที่จะเป็นโสด ซึ่งกลุ่มคนที่อยู่ในทั้ง 3 กลุ่มดังกล่าวนั้นมีส่วนหนึ่งเลือกที่จะเลี้ยงสัตว์ซึ่งส่วนใหญ่ คือ สุนัข และแมวขนาดไม่ใหญ่มากเป็นเพื่อน หรือเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว มีการใช้จ่ายในส่วนนี้ค่อนข้างมากในแต่ละเดือน ผู้ประกอบการบางรายจึงเห็นโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อกลุ่มนี้ที่อาจจะไม่มีกำลังมากพอที่จะซื้อบ้านพร้อมที่ดิน หรือออกไปอาศัยในพื้นที่ชานเมืองหรือปริมณฑล การพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้จึงเริ่มมีให้เห็นมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา


ผู้ประกอบการรายใหญ่รายแรกๆ ที่เริ่มพัฒนาโครงการที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้มาเป็น 10 ปีแล้วคือ เมเจอร์ดีเวลลอปเม้นท์ ซึ่งก่อนหน้านี้อาจจะเป็นโครงการขนาดเล็กหรือเป็นโครงการที่เป็นอาคาร 7-8ชั้น แต่ช่วงหลังมีโครงการที่เป็นอาคารสูง นอกจากนี้โครงการของเมเจอร์ฯ ยังเป็นโครงการที่อยู่ในเมืองชั้นในหรือชั้นกลางดังนั้นราคาขายจึงอาจจะมากกว่า 100,000 บาทต่อตารางเมตรเกือบทุกโครงการ อาจจะมีบางโครงการที่อยู่ในซอยหรือถนนสายรองราคาขายจึงอาจจะต่ำกว่า 100,000 บาทต่อตารางเมตร หรืออยู่ในช่วงที่ไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อยูนิต บางโครงการอาจจะมีการเปิดขายที่ราคาขายมากกว่า 10 ล้านบาทต่อยูนิตเลย รวมๆ แล้วไม่ต่ำกว่า 10 โครงการ

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการรายใหญ่อีกรายที่มีโครงการรูปแบบนี้และเริ่มเห็นได้ชัดเจนในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาคือ ออริจิ้นพร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งมีการเปิดขายโครงการรูปแบบนี้มาแล้วประมาณ 16 โครงการ หรือเปิดขายโครงการรูปแบบนี้ไปควบคู่กับโครงการคอนโดมิเนียมรูปแบบทั่วไป ราคาขายอาจจะไม่สูงมากคืออยู่ในช่วงไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อยูนิตซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งถือว่าสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อขนาดใหญ่ได้มากกว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆ ออริจิ้นน่าจะเป้นผู้ประกอบการที่มีโครงการคอนโดมิเนียมที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้มากที่สุดแล้วในปัจจุบัน

นอกจากนี้ ยังมีผู้ประกอบการรายใหญ่บางรายที่อาจจะมีโครงการรูปแบบนี้บ้างเพียงแต่มีแค่ไม่กี่โครงการเท่านั้น หรือปรับบางอาคารของบางโครงการมาเป็นคอนโดมิเนียมที่เลี้ยงสัตว์ได้ เช่น แสนสิริ อนันดาดีเวลลอปเม้นท์ ไรมอนแลนด์ โนเบิล ไซมิสแอสเสท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์คอร์ปอเรชั่น และสโคปที่มีบางโครงการซึ่งอาจจะเพียง 1-2 โครงการเท่านั้นที่เป็นโครงการคอนโดมิเนียมที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ ซึ่งโครงการที่เปิดขายโดยผู้ประกอบการกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีราคาขายเริ่มต้นที่ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาทต่อยูนิต และมีบางโครงการที่มีราคาขายเริ่มต้นที่ไม่ต่ำกว่า 15 ล้านบาทต่อยูนิต

แต่ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ซื้อมากพอสมควรเพราะกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อส่วนหนึ่งไม่มีลูก หรืออาจจะมีบ้านอยู่แล้วแต่ไกลออกไปจากที่ทำงานหรือโรงเรียนของบุตรหลานตนเอง การซื้อคอนโดมิเนียมในรูปแบบนี้ก็ตอบโจทย์ได้ครบทุกเรื่องโดยเฉพาะไม่ต้องปล่อยสัตว์เลี้ยงไว้ที่บ้านกับคนดูแล สามารถเอามาเลี้ยงดูแบบเปิดเผยได้เลยที่คอนโดมิเนียมในช่วงวันทำงาน


ก่อนหน้านี้ที่มีโครงการคอนโดมิเนียมที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ไม่มาก หลายโครงการมีปัญหาในการที่ผู้ที่อาศัยอยู่ในโครงการคอนโดมิเนียมทั้งในกลุ่มของเจ้าของร่วมในโครงการ และผู้เช่ามีการแอบเลี้ยงสัตว์เลี้ยงซึ่งอาจจะเป็นปัญหาลุกลามใหญ่โตเมื่อมีการตรวจสอบพบเจอการที่มีโครงการรูปแบบนี้เปิดขายมากขึ้นและมีหลายระดับราคากลายเป็น 1 ในทางเลือกที่สำคัญของกลุ่มผู้ซื้อที่ต้องการ

นอกจากนี้ การเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้กลายเป็น 1 ในช่องทางการตลาดของผู้ประกอบการที่จำเป็นต้องเปิดขายโครงการใหม่ต่อเนื่องและไม่สามารถหยุดหรือชะลอการเปิดขายโครงการใหม่ได้ แต่ปัญหาคือฝั่งความต้องการตลาดที่มีปัญหาค่อนข้างมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการต้องหาจุดขายหรือความแปลกใหม่มาเป็นจุดขายและโครงการคอนโดมิเนียมที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้เป็น 1 ในจุดขายที่สำคัญและตอบโจทย์ทั้งในฝั่งของผู้ประกอบการและผู้ซื้อได้เป็นอย่างดี

โครงการคอนโดมิเนียมที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้จะมีการเปิดเผยมาตั้งแต่ช่วงก่อนที่จะเปิดขายอยู่แล้วว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่ผู้ซื้อสามารถเลี้ยงสัตว์ในยูนิตของตนเองได้ เพียงแต่อาจจะมีกำหนดในเรื่องของขนาดความสูงและน้ำหนักตัวของสัตว์เลี้ยงเพื่อที่จะได้ไม่มีคนนำสัตว์เลี้ยงที่มีขนาดใหญ่เข้ามาเลี้ยงในโครงการ นอกจากนี้ กลุ่มคนที่ไม่ได้เลี้ยงสัตว์แต่เลือกที่จะซื้อโครงการรูปแบบนี้ต้องยอมรับเงื่อนไขข้อนี้ให้ได้ จริงอยู่ที่ผู้ที่เลี้ยงสัตว์ต้องรับผิดชอบสัตว์เลี้ยงของตนเองแต่บางครั้งอาจจะมีเรื่องอื่นๆ ที่สร้างปัญหาได้รวมไปถึงเรื่องของพื้นที่บางพื้นที่ที่ต้องอยู่ร่วมกับสัตว์เลี้ยง ซึ่งเท่าที่ผ่านมาปัญหากระทบกระทั่งกันในโครงการรูปแบบนี้ยังไม่มากนักแต่ปัญหาที่เกิดจากการลักลอบเลี้ยงสัตว์มีปัญหามากกว่าชัดเจน

ผู้ประกอบการที่เปิดขายและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมรูปแบบนี้ยังมีการพัฒนาในเรื่องต่างๆ ภายในโครงการเพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบของโครงการ เช่น ระบบระบายอากาศที่อาจจะพิเศษมากขึ้นเรื่องของพื้นที่พิเศษสำหรับสัตว์เลี้ยง การใช้สีในการตกแต่งพื้นที่บางส่วนให้สอดคล้องกับศักยภาพการมองเห็นของสุนัขและแมว การมีระบบกำจัดเสียงรบกวนหรือลดทอนดูดซับเสียงทั้งในแต่ละยูนิต และพื้นที่ส่วนกลาง รวมไปถึงการมีระบบจัดเก็บขยะหรือของเสียที่พิเศษมากขึ้น รวมไปถึงการมีระบบกำจัดแมลงปลวกที่พิเศษหรือมีความใส่ใจมากขึ้นนอกจากนี้ อาจจะมีบริการเสริมเพิ่มเติมเช่นการรับฝากเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงการรักษาพยาบาลสัตว์เลี้ยงเบื้องต้น เป็นต้น ซึ่งเรื่องต่างๆ เหล่านี้ขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการว่ามีความใส่ใจ รวมไปถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาของผู้ประกอบการเป็นสำคัญ


นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด (LWS) กล่าวว่า จากรายงานของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และ Euromonitor ระบุว่า ณ ปี 2566 มีจำนวนครัวเรือนที่อยู่เพียงลำพัง หรือคนโสด จากทั่วโลกราว 400 ล้านครัวเรือน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 3.3% ต่อปี

ขณะที่ประเทศไทย ณ สิ้นปี 2565 มีจำนวนครัวเรือนที่อยู่เพียงลำพังกว่า 7 ล้านครัวเรือน หรือคิดเป็นสัดส่วน 26% ของครัวเรือนในประเทศไทย ทั้งหมดเพิ่มขึ้นกว่า 10% จากปี 2555 โดยประเทศไทยถือเป็น 1 ใน 10 ประเทศที่มีค่าใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของครัวเรือนที่อยู่เพียงลำพังสูงที่สุดในเอเชียแปซิฟิก โดยเป็นการใช้จ่ายในกลุ่มของสินค้า และบริการ คิดเป็นค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 1.4 ล้านล้านบาทต่อปี

ในขณะที่ ผลสำรวจของ แอล.ดับเบิลยู.เอส. เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2566 จากจำนวนผู้อยู่อาศัยในโครงการอาคารชุดในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล 729 ตัวอย่าง พบว่า มีสัดส่วนของคนที่อยู่เพียงลำพัง คิดเป็นสัดส่วน 45% สูงขึ้นจากปี 2563 ถึง 10% และมีสถานภาพโสดมากกว่า 75% เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ประมาณ 5% โดยมีรายได้ต่อเดือนอยู่ในช่วง 20,000-40,000 บาท 

จากแนวโน้มประชากรไทยที่อยู่เพียงลำพัง หรือคนโสดที่เพิ่มขึ้น ทำให้การพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชากรในกลุ่มนี้จึงเป็นโอกาส ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะกลุ่มผู้พัฒนาโครงการคอนโดฯ เพื่อขายเจาะกลุ่มคนรักสัตว์ และนักลงทุนซื้อคอนโดฯ ปล่อยเช่าเพื่อทำกำไรระยะยาว 

โดยกลุ่มผู้ซื้อคอนโดฯ เพื่อการลงทุนระยะยาวนั้นมีความสนใจลงทุนคอนโดฯ เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากในปัจจุบันราคาที่อยู่อาศัยที่ปรับตัวสูงขึ้นตามต้นทุนใหม่ ทั้งต้นทุนที่ดิน ค่าก่อสร้าง และภาระดอกเบี้ย ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้นเกินกว่าความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้ซื้อ ผนวกกับความต้องการของคนรุ่นใหม่ และคนโสดที่มีพฤติกรรมการทำงานอาชีพ อิสระมากขึ้น พร้อมที่จะย้ายที่อยู่อาศัยให้ใกล้กับที่ทำงาน และให้ความสำคัญกับการเดินทางและท่องเที่ยวมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้ตัดสินใจที่จะ “เช่า” ที่อยู่อาศัย มากกว่า “ซื้อ” ซึ่งจากการสำรวจพฤติกรรมการอยู่อาศัยในอาคารชุดพักอาศัยของ แอล.ดับเบิลยู.เอส. ในปี 2566 พบว่า กลุ่มคนเช่าที่อยู่ตัวคนเดียวกว่า 30% มีความศักยภาพที่พร้อมจ่ายค่าเช่าตั้งแต่ 6,000-10,000 บาท/เดือน


ขณะที่กลุ่มคนรักสัตว์และเลี้ยงสัตว์ก็เป็นอีกกลุ่มเป้าหมายของผู้พัฒนาคอนโดฯ ซึ่งจากการสำรวจความสนใจซื้ออาคารชุดที่เลี้ยงสัตว์ได้ ของแอล.ดับเบิลยู.เอส. ในปี 2566 พบว่า 3 ใน 4 ของคนที่สนใจซื้ออาคารชุดเพื่อพักอาศัย เลือกพิจารณาโครงการที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้เป็นองค์ประกอบหลักในการพิจารณา โดยส่วนใหญ่มองว่า ในอนาคตถ้าต้องการเลี้ยงสัตว์จะได้ไม่เป็นปัญหาต่อการอยู่อาศัย หรือต้องย้ายที่พักอาศัย

ผลสำรวจพบค่าดูแลสัตว์ต่อตัวต่อปีพุ่ง 15,000 บาท สะท้อนกำลังซื้อสูง

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงข้อมูลคาดการณ์ "มูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยง" ในไทยว่ามีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 8.4% หรือเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 66,748 ล้านบาทในปี 2568 สอดคล้องกับผลวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) และThe 1 Insight ที่ระบุว่า ปัจจุบัน คนไทยสัดส่วนมากกว่า 65% เลี้ยงสัตว์เหมือนลูกหรือสมาชิกในครอบครัว หรือที่เรียกว่า "Pet Parent" ในขณะที่ 33% เลี้ยงสัตว์เป็นเพื่อนคลายเหงา และ 2% เลี้ยงสัตว์เพื่อการบำบัดเยียวยาจิตใจ มีความสามารถรองรับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงได้ 15,000 บาท/ปี ซึ่งการเลี้ยงสัตว์ในที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตั้งแต่หลังการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส 2019 (Covid-19) เป็นต้นมา

ขณะที่ “ยูโรมอนิเตอร์” หน่วยงามเก็บข้อมูลสถิติระดับโลกคาดการณ์ว่า ในปี 2568 "ตลาดสัตว์เลี้ยง" ทั่วโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 217,615 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.2% ซึ่งตลาดสัตว์เลี้ยงในไทยเติบโตสอดคล้องไปกับตลาดโลกเช่นกัน อีกทั้งพบข้อมูลการขึ้นทะเบียนสุนัข-แมวในปัจจุบันระบุว่า เจ้าของพาหมาแมวมาขึ้นทะเบียนจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมากในทุกปี แต่ในทางกลับกัน อัตราการเกิดของเด็กในไทยตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา กลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนให้เห็นถึงครอบครัวจำนวนมากที่นิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเพื่อเข้ามาเติมเต็มครอบครัว จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมในปัจจุบันมีธุรกิจหลากหลายแบรนด์เลือกที่จะทำการตลาดแนว “Pet Marketing” มากขึ้น

โดยเฉพาะตลาดคอนโดฯ ซึ่งมีการพัฒนาและเปิดตัวโครงการคอนโดฯ เลี้ยงสัตว์ได้เพิ่มมากขึ้นในช่วง 10 ปีทีผ่านมา โดยในช่วง 1-2 ปีตลาดคอนโดฯ เลี้ยงสัตว์ได้มีการขยายตัวอย่างสูงมาก โดยในปี 2567 คาดว่ามูลค่าตลาดคอนโดฯ เลี้ยงสัตว์ได้จะอยู่ที่ประมาณ 75,000 ล้านบาท และคาดว่าจะขยับไปมีมูลค่าแตะระดับแสนล้านในไม่อีกกี่ปีข้างหน้านี้

ทั้งนี้ ผลการสำรวจข้อมูลยังพบอีกว่าการตลาดแนว “Pet Marketing” ยังช่วยสื่อสารแบรนด์ไปถึงกลุ่มคนเลี้ยงสัตว์ได้ดีมาก
เนื่องจากเป็นไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่นิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงแทนลูก และการที่ผู้บริโภคเห็นภาพโฆษณาที่มีทั้งสัตว์และสินค้าอยู่ในโฆษณาสินค้าจะส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้านั้นมากถึง 43.82% เนื่องจากสัตว์เลี้ยงช่วยดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคยุคนี้ได้อย่างดี


นอกจากนี้ ทีมวิจัยและสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับ “การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเป็นลูกของคนยุคใหม่” ยังระบุว่าจากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างคนไทยจำนวน 1,046 คน โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนเจเนอเรชันวาย อายุระหว่าง 24-41 ปี พบว่า เหตุผลที่คนไทยนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในปัจจุบัน คือ

· 49% ของกลุ่มตัวอย่าง ต้องการเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นลูก (Pet Parent)
· 34% ของกลุ่มตัวอย่าง ต้องการเลี้ยงสัตว์เพื่อสถานะทางสังคม (Pet Prestige)
· 18% ของกลุ่มตัวอย่าง ต้องการเลี้ยงสัตว์เพื่อช่วยเหลือและบำบัดรักษา (Pet Healing)

นอกจากนี้ ยังพบด้วยว่าข้อมูลเกี่ยวกับประเภทสัตว์เลี้ยงที่คนไทยในกลุ่มคนรุ่นใหม่นิยมเลี้ยงมากที่สุดเรียงจากมากไปน้อย โดยผลสำรวจชี้ว่า

· อันดับ 1 คนไทยเลี้ยงสุนัขมากที่สุด คิดเป็น 40.4%
· อันดับ 2 คนไทยเลี้ยงแมวรองลงมา คิดเป็น 37.1%
· อันดับ 3 คนไทยเลี้ยงสัตว์เอ็กโซติกน้อยที่สุด คิดเป็น 22.6%

ขณะที่ผลสำรวจเกี่ยวกับ “ค่าใช้จ่าย” ในการเลี้ยงสัตว์แบบทั่วๆ ไป พบว่า39.3% ของกลุ่มตัวอย่าง ระบุว่ามีค่าใช้จ่ายอาหารสัตว์ต่อเดือนอยู่ที่ 1,001-2,000 บาท แต่ถ้าในกลุ่มเจ้าของที่ “เลี้ยงสัตว์เป็นลูก” จะยิ่งยอมจ่ายค่าดูแลสัตว์เลี้ยงมากขึ้น


แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มคนเลี้ยงสัตว์เหล่านี้มีกำลังซื้อที่ดีมาก ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ โดยเฉพาะผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมให้ความสำคัญและมองว่ากลุ่มคนเลี้ยงสัตว์เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีศักยภาพด้านกำลังซื้อมากในปัจจุบัน ทิศทางดังกล่าวทำให้ล่าสุดบริษัทอสังหาฯ หลายรายทยอยเปิดตัวคอนโดฯ เจาะกลุ่มลูกค้าดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง


กำลังโหลดความคิดเห็น