ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ กำไรสุทธิเติบโตมั่นคงนิวไฮต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน ล่าสุดโชว์ผลงานส่งท้ายปี 2566 ด้วยกำไรสุทธิ 866.2 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 8.9% เปิดแผนรุกหนุนเป้าหมายปี 2567 ดันโตเพิ่ม 15% เน้นการพัฒนาธุรกิจใหม่ และการขยายโอกาสทางธุรกิจด้วยการ Synergy เชื่อมโยงทั้งธุรกิจหลักและธุรกิจใหม่จากพันธมิตร เตรียมเข้าลงทุนและควบรวมกิจการอีก 3-4 ดีล ตอกย้ำกลยุทธ์การทำธุรกิจอย่างยั่งยืน ด้วยยุทธศาสตร์ “Logistics and Beyond”
นายทิพย์ ดาลาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ท่ามกลางสถานการณ์โดยรวมของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ในรอบปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาวะทรงตัว หรือติดลบ แต่ในส่วนของบริษัทยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยสิ้นปี 2566 มีรายได้รวม 1,764.5 ล้านบาท สร้างผลกำไรสุทธิ จำนวน 866.2 ล้านบาท เติบโตกว่าปีก่อนหน้า 8.9% และมีกำไรสุทธิหลังหักกำไรจาก รายการพิเศษเติบโตร้อยละ 18.2%
ทั้งนี้ ความสำเร็จดังกล่าวมาจากทั้งการเติบโตของกลุ่มธุรกิจหลัก ซึ่งสามารถรักษาระดับการทำกำไร และยังมีการบริหารจัดการต้นทุนได้ดี รวมถึงบริษัทได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการพัฒนาธุรกิจใหม่ซึ่งมีการลงทุนผ่านรูปแบบการร่วมทุนกิจการร่วมค้า (JV) และการลงทุนเพื่อควบรวมกิจการ (M&A) ที่มุ่งเน้นการใช้ความเชี่ยวชาญจากธุรกิจหลักด้านโลจิสติกส์เข้าไปขับเคลื่อนต่อยอดผลิตภัณฑ์บริการใหม่ๆ สร้างความต้องการ (Demand) ใหม่ๆ และสามารถใช้ศักยภาพของเครือข่ายด้านโลจิสติกส์ที่ III มีอยู่ในการขยายพื้นที่การทำธุรกิจออกไปนอกประเทศไทย ครอบคลุมภูมิภาคเอเชีย และทั่วโลก
สำหรับแผนหลักที่มุ่งขับเคลื่อนการเติบโตปี 2567 ยังคงเน้นการพัฒนาธุรกิจใหม่ และการขยายโอกาสทางธุรกิจด้วยการ Synergy เชื่อมโยงทั้งธุรกิจหลักและธุรกิจใหม่จากพันธมิตร มุ่งขยายการลงทุนหลักไปที่กลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูงสุดและคาดว่าจะเป็นเรือธงของปีนี้ นั่นคือการขนส่งทางอากาศ โดยบริษัทจะโฟกัสไปที่การร่วมลงทุนกับพันธมิตรโลจิสติกส์ใหม่ๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ ทั้งในรูปแบบ JV และ M&A โดยคาดว่าภายในก่อนสิ้นปีจะบรรลุข้อตกลงได้อีก 3-4 ดีล
“ปัจจัยบวกต่อการเติบโตปีนี้ มีทั้งเรื่องอัตราค่าระวางทางเรือ/ทางอากาศ ซึ่งผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และเริ่มทรงตัว หรืออาจปรับสูงขึ้นในบางเส้นทาง รวมถึงปัจจัยบวกจากกลยุทธ์ Logistics and Beyond ของเราเองที่จะเห็นการเติบโตจากการลงทุนใหม่ๆ และจากการเชื่อมโยงกับกลุ่มธุรกิจของพันธมิตรที่เราวางแผนไว้แล้ว โดยมีการขยายพื้นที่การทำธุรกิจออกไปครอบคลุมหลายประเทศ มีผลิตภัณฑ์/บริการใหม่ ซึ่งปีนี้จะเห็นการเติบโตที่ชัดเจนและโดดเด่น” นายทิพย์กล่าว
สำหรับบริษัทร่วมทุนของ III อย่างบริษัท เอเชีย เน็ตเวิร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ ANI ผู้นำธุรกิจตัวแทนขายระวางสินค้าสายการบินในภูมิภาค ซึ่งเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 เตรียมเดินหน้าขยายประเทศให้บริการเพิ่มอีก 3 ประเทศที่ถือเป็นเมืองเศรษฐกิจหลัก ได้แก่ อินเดีย เกาหลี และญี่ปุ่น จากเดิมมีพื้นที่ทางธุรกิจครอบคลุม 10 เมืองใน 8 ประเทศเอเชีย จากนั้นระยะต่อไปวางเป้าหมายขยายออกไปนอกทวีปเอเชีย โดยจะกลายเป็นบริษัทระดับภูมิภาคอย่างเต็มรูปแบบ ปัจจุบันรายได้หลัก 85% มาจากต่างประเทศ ขณะที่รายได้ส่วนที่เกิดขึ้นในประเทศไทยอยู่ที่ 15% อีกทั้งปีนี้จะมีการทำธุรกิจที่ร่วมมือกันระหว่าง III และ ANI โดยจะเริ่มให้บริการด้าน Freighter Service ด้วยเครื่องบินขนส่งสินค้าโดยเฉพาะ และมีเส้นทางบินของตัวเอง
นอกจากนี้ เตรียมเปิดตัวบริการที่เรียกว่า Same Day Asia คือบริการส่งสินค้าภายในภูมิภาคได้ภายในวันเดียว เพราะเห็นความต้องการของตลาดในกลุ่ม E-Commerce สินค้ากลุ่มอาหารสด อาหารแช่แข็ง ผักและผลไม้สด ที่มีความจำเป็นต้องส่งแบบเร่งด่วน
โดยใช้ความเชี่ยวชาญของ III ที่มีเครือข่ายการบินด้าน Air Cargo ครอบคลุมทั่วเอเชียเป็นจุดเชื่อมโยงและต่อยอด ในขณะที่บริษัท บริการภาคพื้น ท่าอากาศยานไทย จำกัด (AOTGA) ที่บริษัทได้เข้าร่วมลงทุนในธุรกิจบริการภาคพื้นสนามบินและผู้โดยสาร รวมทั้งธุรกิจการให้บริการคลังสินค้ากำลังเดินหน้าหาโอกาสใหม่ทางธุรกิจ รวมถึงการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งจะเห็นความชัดเจนเร็วๆ นี้
ทั้งหมดนี้ทำให้มั่นใจว่า III จะสามารถเติบโต 15% ตามเป้าหมายของปี 2567 และเติบโตต่อเนื่องด้วยความมั่นคงและยั่งยืนได้อย่างแน่นอน