xs
xsm
sm
md
lg

ANI ออกโรดโชว์จ่อขาย IPO เข้าจดทะเบียนใน SET

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



บมจ.เอเชีย เน็ตเวิร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล (ANI) เตรียมพร้อมการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) หนุนก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจ GSA ในภูมิภาคเอเชีย โดยมีวัตถุประสงค์การระดมทุนเพื่อนำเงินไปใช้ปรับโครงสร้างทางการเงินจากการซื้อธุรกิจ GSA ในสิงคโปร์และมาเลเซียในช่วงปลายปี 65 ตลอดจนใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ เพื่อการเติบโตของบริษัทในอนาคต

ANI มีแผนจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 554,738,900 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 30% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ เตรียมเข้าจดทะเบียนในหมวดธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ในฐานะหุ้นธุรกิจ GSA รายแรกและรายเดียวในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)

นายบี เล็ง โก๊ะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ANI กล่าวว่า บริษัทเป็นผู้นำธุรกิจตัวแทนขายระวางสินค้าสายการบิน (GSA) ให้แก่สายการบินชั้นนำกว่า 20 สายการบินใน 8 ประเทศและเขตบริหารพิเศษ ประกอบด้วยไทย สิงคโปร์ ฮ่องกง จีน เวียดนาม มาเลเซีย กัมพูชา และพม่า ครอบคลุมจุดยุทธศาสตร์สำคัญด้านการขนส่งทางอากาศของภูมิภาค และมีเส้นทางการบินไปภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกกว่า 400 ปลายทาง

จุดแข็งสำคัญคือ ANI มีความโดดเด่นจากการเป็นหนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ระดับภูมิภาคที่ประกอบธุรกิจหลัก ซึ่งมีเพียง 3 ราย และมีส่วนแบ่งการตลาดรวมกัน 65-75% ANI ยังได้รับความไว้วางใจให้เป็นตัวแทนของสายการบินชั้นนำมาอย่างยาวนานจากมาตรฐานและคุณภาพในการบริการของบริษัท โดยมี 7 สายการบินเป็นคู่ค้ากับบริษัทมากว่า 10 ปี รวมถึงมีคณะผู้บริหารและบุคลากรมืออาชีพที่มีประสบการณ์และความรู้ในอุตสาหกรรมขนส่งสินค้าทางอากาศมาอย่างยาวนานกว่า 35 ปี

พร้อมทั้งได้รับประโยชน์ที่ส่งเสริมซึ่งกันและกันจาก บมจ.ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ (III) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทที่ประกอบธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานขนส่งสินค้าเช่นเดียวกัน ทำให้ ANI มี Ecosystem ที่แข็งแกร่งและส่งเสริมการต่อยอดโอกาสการเติบโตในอนาคต

ANI สร้างโอกาสในการขยายเครือข่ายพันธมิตรอย่างมีประสิทธิภาพ จากการที่สายการบินส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะใช้บริการ GSA เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งสายการบินต้องการลดต้นทุนในการดำเนินงาน ประกอบกับ 4 ปัจจัยสนับสนุนการขับเคลื่อนการเติบโตของ GSA ได้แก่

- เครือข่ายผู้ส่งสินค้าที่ครอบคลุม การว่าจ้างผู้ให้บริการ GSA ทำให้สายการบินไม่จำเป็นต้องจัดจ้างและบริหารทรัพยากรบุคคล หรือจัดตั้งสำนักงานดำเนินการเพิ่มเติม โดยผู้ให้บริการ GSA จะได้รับค่าตอบแทนในรูปแบบของค่านายหน้า นอกจากนี้ สายการบินยังสามารถว่าจ้าง GSA ได้หลายรายในหลายประเทศหรือในพื้นที่เดียวกันเพื่อขยายเครือข่ายให้ทันต่อความต้องการทางธุรกิจ

- ช่วยบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้บริการจากผู้ให้บริการ GSA ที่มีประสบการณ์สามารถช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่สายการบิน เนื่องจากผู้ให้บริการ GSA สามารถนำความรู้ความเชี่ยวชาญมาสร้างประโยชน์ในเชิงรายได้ให้แก่สายการบิน ในขณะเดียวกัน ยังมีต้นทุนในการดำเนินงานที่ต่ำกว่าการที่สายการบินดำเนินการด้วยตนเอง

- รวดเร็วกว่าการดำเนินงานด้วยตัวเอง GSA สามารถช่วยสายการบินในการขยายตลาดใหม่ๆ ในต่างประเทศอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เนื่องจากมีเครือข่ายที่ครอบคลุมและมีความเข้าใจในตลาดต่างๆ เป็นอย่างดี

- เข้าถึงฐานข้อมูลและกลุ่มลูกค้าในแต่ละประเทศ การทำงานร่วมกับ GSA ทำให้สายการบินสามารถเข้าถึงฐานข้อมูลในตลาดของกลุ่มลูกค้าของผู้ให้บริการ GSA ได้ในทันที


ANI วางแผนการเติบโตอย่างต่อเนื่องสู่การเป็นผู้นำธุรกิจ GSA ในภูมิภาคเอเชีย โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ของรายได้ในปี 66-68 ที่ประมาณ 30% ซึ่งการจัดหาสัญญาใหม่ปีละ 6-8 สัญญา (อ้างอิงจากสภาวะตลาด อัตราค่าระวาง และแนวโน้มอุตสาหกรรมในเดือนมิถุนายน 2566) และดำเนินกลยุทธ์ในการมุ่งการรักษาฐานลูกค้าเดิม และเติบโตไปพร้อมกับสายการบินที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบันในเส้นทางใหม่

พร้อมขยายการให้บริการไปยังสายการบินรายใหม่หรือเส้นทางบินใหม่ๆ โดยในระยะสั้นจะมุ่งขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมในกลุ่มประเทศที่มีการเติบโตและความต้องการการขนส่งสินค้าทางอากาศที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย และในระยะยาวจะขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมไปยังภูมิภาคอื่น เช่น ทวีปยุโรป และออสเตรเลีย เป็นต้น รวมไปถึงการขยายธุรกิจผ่านการเข้าซื้อกิจการ ร่วมทุนกับบริษัทที่ประกอบธุรกิจ GSA หรือธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ ในอุตสาหกรรมการขนส่งทางอากาศ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในอนาคต

นอกจากนี้ ANI ยังมีแผนพัฒนาบริการการขนส่งสินค้าทางอากาศของตนเองผ่านทางการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบเช่าเหมาลำ (Charter Flight) รวมไปถึงร่วมกับผู้ให้บริการสายการบินขนส่งทางอากาศ (Freighter Flight) ในการนำเสนอระวางสินค้าสำหรับการขนส่งทางอากาศและเส้นทางบินของบริษัทเอง เพื่อสร้างความยั่นยืนในระยะยาว

ผลประกอบการปี 63, 64 และ 65 มีรายได้รวม 4,842.7 ล้านบาท 7,791.3 ล้านบาท และ 7,744.1 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) สำหรับปี 63-65 เท่ากับ 26.5% ต่อปี ขณะที่ปริมาณการให้บริการยังมีการเติบโตตลอด 3 ปีที่ผ่านมา จาก 91,097 ตัน ในปี 63 เป็น 109,050 ตันในปี 65 ด้วยอัตราเติบโตเฉลี่ยที่ 7.5% ต่อปี

สำหรับในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ANI มีรายได้รวม 2,668.6 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 431.9 ล้านบาท เติบโต 17.7% จากกำไรสุทธิในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า


กำลังโหลดความคิดเห็น