นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (16 ก.พ.) ที่ระดับ 36.07 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 36.18 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.00-36.20 บาท/ดอลลาร์ โดยในช่วงคืนก่อนหน้าค่าเงินบาททยอยแข็งค่าขึ้น (แกว่งตัวในช่วง 36.03-36.18 บาทต่อดอลลาร์) ตามการย่อตัวลงของเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) สหรัฐฯ ในเดือนมกราคมหดตัว -0.8%m/m แย่กว่าที่ตลาดคาดพอสมควร ขณะเดียวกัน ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Jobless Claims) ยังออกมาแย่กว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot เล็กน้อย (ตลาดมองลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง) นอกจากนี้ การย่อตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังได้หนุนให้ราคาทองคำสามารถรีบาวนด์ขึ้นใกล้โซนแนวต้านระยะสั้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรการรีบาวนด์ของราคาทองคำบ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวมีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาท แม้ยังคงมีอยู่แต่เริ่มแผ่วลงบ้าง ทำให้โดยรวมเงินบาทอาจยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ และอาจยังไม่อ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 36.20-36.30 บาทต่อดอลลาร์ ทั้งนี้ เรามองว่านอกจากทิศทางเงินดอลลาร์ ผู้เล่นในตลาดควรจับตาทิศทางราคาทองคำ และฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ ซึ่งจะมีผลกับทิศทางเงินบาทได้ในระยะสั้น โดยเราประเมินว่า ราคาทองคำอาจเริ่มอยู่ในช่วงสร้างฐานราคาหลังปรับตัวลงแรงก่อนหน้า ทำให้ยังพอมีโอกาสได้ลุ้นการรีบาวนด์ของราคาทองคำ ซึ่งจะช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้บ้าง ขณะเดียวกัน หากบรรยากาศในตลาดการเงินเอเชียยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงอาจช่วยชะลอแรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติได้บ้าง ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติอาจยังไม่รีบกลับเข้าซื้อหุ้นไทย เพราะในช่วงนี้หุ้นขนาดเล็ก-กลางเป็นกลุ่มที่กำลังทำผลงานได้ดี ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่ยังไม่ได้มีการรีบาวนด์ขึ้นอย่างชัดเจน สะท้อนจากผลตอบแทนที่แตกต่างของดัชนี SSET หรือ MAI เทียบกับดัชนี SET50
ทั้งนี้ ในเชิงเทคนิคัล หากเงินบาทไม่ได้อ่อนค่าต่อ และพลิกกลับมาย่อตัวลงจนแกว่งตัวแถว 36.00 บาทต่อดอลลาร์ เรามองว่าเงินบาทจะเริ่มมีโอกาสพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้าง หรืออย่างน้อยก็แกว่งตัว sideways ตามสัญญาณ เช่น Shooting star pattern, Bearish Divergence บน RSI เป็นต้น ซึ่งหากเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้จริงอาจเผชิญแนวรับแถว 35.80 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวรับในระยะสั้น
สำหรับวันนี้ เราประเมินว่าผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ เช่น ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (UofM Consumer Sentiment) โดยในส่วนรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามว่าอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะสั้นและระยะกลางจะมีทิศทางอย่างไร
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของฝั่งอังกฤษ อย่างยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนมกราคม
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด และธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มนโยบายการเงิน
บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง หนุนโดยความหวังว่าเฟดอาจทยอยลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ (ยอดค้าปลีก และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง) เริ่มออกมาแย่กว่าคาดบ้าง อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ (The Magnificent 7) ออกมาบ้าง เช่น Alphabet -2.2% Nvidia -1.7% ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่ได้ปรับตัวขึ้นไปมาก โดยดัชนี S&P500 ปิดตลาดราว +0.58%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.68% หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ยังคงออกมาสดใส ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ BOE และ ECB รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจของอังกฤษล่าสุด ที่ยังคงทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่าทั้ง BOE และ ECB อาจสามารถทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในช่วงไตรมาส 2
ในฝั่งตลาดบอนด์ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เริ่มออกมาแย่กว่าคาดบ้าง ได้กดดันให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะย่อตัวลงทดสอบโซน 4.20% ก่อนที่จะรีบาวนด์ขึ้นบ้างสู่ระดับ 4.24% ท่ามกลางบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงในตลาดการเงินสหรัฐฯ ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่าบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในโซนเหนือกว่า 4.20% ถือเป็นระดับที่น่าสนใจ และนักลงทุนสามารถทยอยเพิ่มสถานะการลงทุนได้ หรือนักลงทุนอาจรอจังหวะ Buy on Dip ก็ได้เช่นกัน (เรายังประเมินว่า บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจไม่สามารถปรับตัวขึ้นทะลุโซน 4.50% ได้ง่ายนัก) อนึ่ง นักลงทุนอาจใช้กองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศ หรือ ETF อย่าง IEF (iShares 7-10 Year Treasury Bond ETF) รวมถึงตราสารที่มี IEF เป็น underlying เพื่อเป็น proxy ในการลงทุนตามมุมมองดังกล่าวได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงบ้างตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด และบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงในตลาดการเงินสหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ย่อตัวลงบ้างสู่ระดับ 104.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 104.2-104.6 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการย่อตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) สามารถรีบาวนด์ขึ้น ทดสอบโซนแนวต้านแถว 2,020 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่ผู้เล่นในตลาดจะทยอยขายทำกำไรการรีบาวนด์ออกมาบ้าง (สอดคล้องกับมุมมองที่เราประเมินไว้ก่อนหน้า) แต่โดยรวมราคาทองคำยังสามารถแกว่งตัวแถว 2,015 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้