สื่อนอกเผย "แบงก์กสิกร" ธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไทย กำลังเร่งพัฒนาระบบบล็อกเชน เพื่อรองรับการลงทุนในธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อหวังกระตุ้นการระดมทุนสำหรับบริษัทต่างๆ แม้ว่าภาคการเงินจะยังคงสร้างความสับสนต่อจุดยืนถึงความเชื่อมั่นในสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งยังคงกระทบต่อความเชื่อมั่นของเจ้าหนี้ในระบบการเงินหลัก
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้เข้าซื้อหุ้นของ Satang Corp ซึ่งเป็นบริษัทแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาตจาก สำนักงาน ก.ล.ต. ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์กระจายการลงทุนในรูปแบบใหม่
นายพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า “เราแนะนำให้ลูกค้าบางรายออกโทเค็นเพื่อระดมทุน เนื่องจากเราเห็นถึงศักยภาพในตลาดนี้ ทำให้เราจริงจังกับการพัฒนาระบบนิเวศของสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มแบบดั้งเดิมที่มีอยู่”
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้บริษัทจดทะเบียนของไทย ซึ่งกำลังฟื้นตัวกลับขึ้นมา และเข้ามามีส่วนร่วมกับโอกาสในสินทรัพย์ดิจิทัล ในขณะที่ภาคธุรกิจฟื้นตัวจากความเสียหายของตลาดคริปโตในปี 2565 และการล้มละลายหลายๆแห่งของกองทุนคริปโต และธุรกิจการเงินเก่าแก่ของโลก
ขณะเดียวกัน จากนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งได้ยังเปิดรับเทคโนโลยีบล็อคเชน และมีแผนที่จะใช้บัญชีแบบแยกประเภทดิจิทัล เพื่ออำนวยความสะดวกในการแจกเงินสดมูลค่า 14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือ 6 แสนล้านบาท ตามนโยบายที่หาเสียงไว้ของพรรคเพื่อไทย)
เงินทุนที่มีต้นทุนต่ำกว่า
อย่างไรก็ตาม นายพิพิธ ไม่ได้มีการระบุว่าบริษัทใดที่ได้รับคำแนะนำให้ออกโทเค็น แต่เสริมว่าบริษัทเหล่านี้อาจคุ้มค่ากว่าการใช้สินเชื่อหรือการขายหุ้น ซึ่งเขาประเมินภาพอนาคตว่าบริษัทต่างๆ ที่เสนอขายโทเค็น จะสามารถสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ และจ่ายผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้
ขณะที่ สำนักงาน ก.ล.ต. ได้กำหนดนโยบายสำหรับการเสนอขายเหรียญซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์ด้านสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีกรอบการระดมทุนครอบคลุมมากขึ้น โดยเมื่อปีที่ บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด ซึ่งเป็นหรึ่งในธุรกิจร่วมของ Grammy Entertainment ร่วมกับ Broadcast Thai Television ได้เปิดการระดมเงินทุน Destiny Token ได้มากถึง 265 ล้านบาท จากการเสนอขายโทเค็นเพื่อช่วยลงทุนในภาพยนตร์บุพเพสันนิวาส 2
ขณะที่ย้อนกลับไปในช่วงปี 2560 การเสนอขายเหรียญเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก แต่มูลค่าของโทเค็นจำนวนมากก็ลดลงต่ำกว่าราคาที่เสนอขายครั้งแรก และหลายโทเคนยังคงไม่สามารถสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนแก่นักลงทุนได้ โดยหลายฝ่ายมองว่ามีลักษณะไม่ต่างจากการเล่นพนัน
ขณะที่ในส่วนของบัญชีซื้อขาย crypto โดยยอดผู้ใช้งานไทยในเดือนพฤศจิกายนล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 116,000 บัญชี เทียบกับจุดสูงสุดที่ประมาณ 700,000 บัญชีในช่วงฟองสบู่สินทรัพย์ดิจิทัลในปี 2564
นอกจากนี้ โครงการ crypto อื่น ๆ ของไทยที่กำลังเป็นที่จับตามอง ได้แก่ binance gulf thailand ของนายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานกรรมการบริหารของกัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ ซึ่งเป็นการร่วมทุนธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลระหว่าง บริษัท Gulf Energy Development Pcl กับ Binance ซึ่งเป็นบริษัทแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อเริ่มสถานที่ซื้อขาย crypto ในท้องถิ่น
ความเสี่ยงในธุรกิจคริปโตของไทย
อย่างไรก็ดี ล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้ว Binance รับสารภาพในข้อหาต่อต้านการฟอกเงินของสหรัฐฯ และการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ โดยทางการสหรัฐได้สั่งลงโทษปรับเป็นเงินประมาณ 4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความเสี่ยงที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของธุรกิจคริปโต และทำให้หลายคนในแวดวงการเงินแบบดั้งเดิมอาจต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น
พิพิธกล่าวเสริมว่า "ธนาคารกสิกรไทยจะปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างระมัดระวัง ด้วยการกำกับดูแลที่เหมาะสมในหลายประเทศ ถึงเวลาแล้วสำหรับการขยายตัวไปยังธุรกิจใหม่ๆ”
ทั้งนี้เขตอำนาจศาลหลายแห่ง เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ ดูไบ และสหภาพยุโรป กำลังมองหาที่จะส่งเสริมศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเป็นผลมาจากการที่สหรัฐอเมริกาได้มีความเข้มงวดในกฏระเบียบต่อผู้ประกอบการธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งที่ผ่านมาทาง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. สหรัฐ ได้ปราบปรามการฉ้อโกงของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมคริปโต และการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด
นอกจากนี้การที่สถาบันการเงินทั่วโลก เช่น JPMorgan Chase & Co, HSBC Holdings Plc และ Franklin Templeton กำลังเปลี่ยนระบบใหม่ที่สร้างขึ้นจากบล็อกเชนอย่างระมัดระวัง แต่ก็ต้องรอดูกันว่าการขยายการลงทุนและการปรับเปลี่ยนรูปแบบครั้งนี้จะขยายขนาดได้เร็วมากน้อยแค่ไหน