การยื่นขอเปิดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) หรือ NUSA ตามมาตรา 100 ตาม พ.ร.บ.มหาชนฯ ของบริษัท ธนา พาวเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ของ NUSA ในสัดส่วน 24.98% ของทุนจดทะเบียน สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทจดทะเบียนแห่งนี้ ซึ่งปะทุขึ้นอย่างรุนแรง
กลุ่มนายวิษณุ เทพเจริญ เป็นผู้บุกเบิกก่อตั้ง และถือหุ้นใหญ่ NUSA มาแต่เดิม โดยกลุ่มนายประเดช กิตติอิสรานนท์ เพิ่งเข้ามาถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 เมื่อหลายปีที่ผ่านมา
แม้นายประเดชจะถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่ง แต่การบริหารงานยังอยู่ในมือของกลุ่มเทพเจริญ ซึ่งตลอดเวลาหลายปีทั้งสองกลุ่มร่วมกันดูแล NUSA การดำเนินเป็นไปอย่างราบรื่น และมีความกลมเกียว โดยเฉพาะการตอบปมปัญหาต่างๆที่ตลาดหลักทรัพย์ฯสอบถาม
และแม้ผลประกอบการ NUSA จะขาดทุนต่อเนื่อง แต่ก็ไม่มีกลุ่มไหนโยนความผิดพลาดให้กัน และราคาหุ้น NUSA กลับทะยานขึ้นต่อเนื่องเสียด้วย โดยเฉพาะช่วงต้นปี 2565 ที่มีการนำหุ้นเพิ่มทุน NUSA 3,939 ล้านหุ้น เพื่อแลกหุ้น บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี โฮลดิ้ง จำกัด หรือ WEH จำนวน 8.75 ล้านหุ้นหรือ 8.04% ของทุนจดทะเบียน
ในสัดส่วน 1 หุ้น WEH ในราคาหุ้นละ 405 บาท แลกหุ้น NUSA จำนวน 450 หุ้น ในราคาหุ้นละ 90 สตางค์
ราคาหุ้น NUSA ก่อนและหลังการแลกหุ้น WEH ถูกลากขึ้นอย่างร้อนแรง ทะลุไปถึง 1.83 บาท ท่ามกลางเสียงเตือนให้นักลงทุนระมัดระวังการเก็งกำไร เพราะผลประกอบการยังย่ำแย่
หลังจากเป้าหมายการแปรธาตุระหว่างหุ้น NUSA กับหุ้น WEH บรรลุเป้าหมาย ทำให้นายประเดชสามารถควบคุการออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้น WEH ซึ่งเป็นขุมทรัพย์ใหญ่ของกลุ่มนายประเดชอย่างเบ็ดเสร็จ ราคาหุ้น NUSA ก็เริ่มปรับฐาน สู่ปัจจัยพื้นฐานที่เป็นจริง ปรับตัวลงต่อเนื่อง
และมีเสียงสำทับมาตลอด เตือนให้นักลงทุนรายย่อยชิงเผ่นออกจาก NUSA เพราะบริษัทมีปมปัญหาที่ถูกตลาดหลักทรัพย์ติดตามตรวจสอบอยู่หลายด้าน และน่าจะมีนักลงทุนรายย่อยจำนวนไม่น้อย ทยอยขายทิ้ง NUSA
เพราะจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย เมื่อปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นวันที่ 22 มีนาคม 2566 เหลือเพียง 8,755 ราย ลดลงเมื่อเทียบกับปิดสมุดทะเบียนวันที่ 16 มีนาคม 2565 ซึ่งมีผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวน 11,283 ราย
NUSA อยู่บนจอเรดาร์ของตลาดหลักทรัพย์ และมีปมการบริหารต้องสอบถามกันหลายครั้ง ไม่ว่าการซื้อโรงแรมนประเทศเยอรมันนีที่มีการจ่ายเงินมัดจำล่วงหน้าประมาณ 80% ของราคาที่จะซื้อ การลงทุนใน บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE และปัญหาบริษัทลูกที่ต้องชำระหนี้ค่าก่อสร้างกว่า 1 พันล้านบาท จนอาจกระทบต่อฐานของ NUSA
แผนการนำหุ้นหุ้นเพิ่มทุนมูลค่าประมาณ 13,000 ล้านบาท เพื่อแลกกับหุ้น WEH ระลอกใหม่ ซึ่งเข้าข่ายการทำแบล็คดอร์ลิสติ้ง หรือเข้าตลาดหุ้นทางอ้อม ยังถูกระงับจากตลาดหลักทรัพย์
ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ประกาศเตือนผู้ถือหุ้นกู้ NUSA 2 รุ่น ใช้สิทธิการปะชุมผู้ถือหุ้นกู้วันที่ 19 ธันวาคมนี้ โดยขอให้ศึกษาและซักถามข้อมูล ก่อนตัดสินใจอนุมัติหรือไม่อนุมัติ การเปลี่ยนหลักประกันตามสัญญาหลักประกันและการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดสิทธิของหุ้นกู้หรือเอกสารอื่นใด
ผู้ถือหุ้นรายย่อย NUSA บาดเจ็บล้มตายไปจำนวนมาก และผู้ถือหุ้นกู้ กำลังตกอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วง เพราะการขอเปลี่ยนแปลงหลักประกันหุ้นกู้และการเปลี่ยนสิทธิผู้ถือหุ้นกู้ อาจกระทบนักลงทุนได้ ก.ล.ต.จึงต้องออกมาเตือนผู้ถือหุ้นกู้ให้ระวัง
ขาขึ้นของ NUSA ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่นายประเดชเข้ามาถือหุ้นใหญ่ กำลังปิดฉากลง พร้อมกับความร้าวฉานกับกลุ่มเทพเจริญ ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นจากผลประโยชน์ที่ขัดกัน
เพียงแต่ผลประโยชน์จุดไหนที่ทำให้นายประเดชและกลุ่มเทพเจริญไปต่อด้วยกันไมได้ นักลงทุนทั้งตลาดหุ้นคงอยากรู้ รวมทั้ง ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์
จากมิตรที่กำลังแปรเปลี่ยนเป็นศัตรูที่ต้องห้ำหั่นกัน ระหว่างกลุ่มนายประเดชกับกลุ่มเทพเจริญ แม้เป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ และจะมีใครเปิดโปงความลับใครออกมาบ้างหรือไม่ ยิ่งเป็นสิ่งที่น่าติดตาม
แต่สิ่งทีมีความสำคัญมากกว่าคือ ชะตากรรมของผู้ถือหุ้นรายย่อย NUSA จำนวนเกือบ 1 หมื่นชีวิตที่ติดดอยหุ้นตัวนี้อยู่
สถานการณ์ด้านผลประกอบการ NUSA ไม่มีสัญญาณที่ดีขึ้น แม้นายประเดชจะสามารถควบคุมอำนาจการบริหารบริษัทฯอย่างเบ็ดเสร็จก็ตาม
ราคาหุ้น NUSA ที่ดิ่งลงมาปิดที่ 29 สตางค์ เมื่อวันศุกร์ที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา กำลังฟ้องว่า รอบขาลงของจริงหุ้น NUSA คืบคลานเข้ามาแล้ว
แล้วแต่ว่า ใครจะหนีออกจาก NUSA ได้เร็วกว่าเท่านั้น