หุ้นไทยปิดร่วง -15.95 จุด ร่วงหลุดทำ New Low ในรอบ 3 ปี เหตุจากการเติบโตของเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับต่ำ ทำนักลงทุนหมดความเชื่อมั่น อีกทั้งยังไร้ปัจจัยบวกเข้าหนุน ประเมินกรอบการลงทุนวันพรุ่งนี้ แนวรับที่ 1,345-1,340 จุด และแนวต้าน 1,380 จุด แนะจับตาการประชุม เฟด ในคืนนี้ ซึ่งคาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ 5.25-5.5%
ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 13 ธันวาคม 2566 ปรับตัวลดลง -15.95 จุด หรือ -1.16% โดยปิดตลาดที่ 1,357.97 จุด มูลค่าซื้อขาย 37,984.99 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมการซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีปรับตัวลดลงไปมากด โดยระหว่างวันปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,370.39 จุด ในทิศทางกลับกันที่ปรับตัวลดลงต่ำสุด 1,354.73 จุด
ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้นจำนวน 92 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลงจำนวน 147 หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลงจำนวน 403 หลักทรัพย์
ด้านปริมาณการซื้อขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิกว่า +662.41
ล้านบาท ในทางกลับกันพบว่า นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิกว่า -542.14 ล้านบาท บัญชี บล. ขายสุทธิกว่า -112.72 ล้านบาท และ นักลงทุนสถาบันขายสุทธิกว่า -7.55 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
1.CPALL มูลค่าการซื้อขาย 2,248.95 ล้านบาท ปิดที่ 51.00 บาท ลดลง 1.75 บาท
2.PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,709.02 ล้านบาท ปิดที่ 35.75 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
3.BDMS มูลค่าการซื้อขาย 1,494.67 ล้านบาท ปิดที่ 25.75 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
4.BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,359.41 ล้านบาท ปิดที่ 148.50 บาท ลดลง 2.00 บาท
5.AOT มูลค่าการซื้อขาย 1,246.33 ล้านบาท ปิดที่ 59.00 บาท ลดลง 0.50 บาท
ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.BH ปิดที่ 214.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00บาท หรือ 0.47%
2.CBG ปิดที่ 79.00บาท เพิ่มขึ้น 0.75บาท หรือ 0.96%
3.CK ปิดที่ 20.30บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ 2.53%
4.EGCOปิดที่ 121.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ 0.41 %
5.SABUY ปิดที่ 5.15 บาท เพิ่มขึ้น 0.21บาท หรือ 4.25%
ส่วนดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.THG ปิดที่56.00บาท ลดลง 4.00บาท หรือ 6.67%
2.SCC ปิดที่287.00บาท ลดลง 3.00บาท หรือ 1.03%
3.JMT ปิดที่25.25บาท ลดลง 2.00บาท หรือ 7.34%
4.KBANK ปิดที่126.00บาท ลดลง 2.00บาท หรือ 1.56%
5.PTTEP ปิดที่142.50บาท ลดลง 2.00บาท หรือ 1.38%
ขณะที่ดัชนี SET100 ปิดที่ 1,861.41 จุด ลดลง -21.58 จุด หรือ -1.15% ส่วนดัชนี SET50 ปิดที่ 841.20 จุด ลดลง -9.35 จุด หรือ -1.10% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 387.73 จุด ลดลง -3.36 จุด หรือ -0.86%
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.กรุงศรี พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ Underperform ตลาดภูมิภาคเอเชีย ในประเทศยังไร้ปัจจัยใหม่หนุน และความเชื่อมั่นนักลงทุนอยู่ในระดับต่ำมาก ส่งผลให้ดัชนีร่วงลงหลุดแนวรับสำคัญที่ 1,370 จุด ลงมาทำระดับต่ำสุดใหม่ (New Low) ในรอบ 3 ปี จาก Low เดิม 1,366 จุด
"ปัจจัยหลักที่กดดันตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง มองว่ามาจากการเติบโตของเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับต่ำกว่าคาด ทำให้เงินที่เคยไหลเข้ามาซื้อสุทธิหุ้นไทยเมื่อปี 65 เกือบ 2 แสนล้านบาทกลับข้างเป็นชะลอการเข้าลงทุน ตลอดจนขายสุทธิออกไป ถือเป็นการปรับสถานะของนักลงทุนต่างชาติในปีนี้"
ขณะที่ตลาดยังรอติตดามปัจจัยสำคัญ คือ การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในคืนนี้ ซึ่งเก็งว่าเฟดน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ 5.25-5.5% รวมถึงติดตามมุมมอง Dot Plot ว่าจะเห็นการปรับอัตราดอกเบี้ยลงอย่างไร จากเดิมเฟดให้ Dot Plot สิ้นปี 67 อยู่ที่ 5.125% โดยเราคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลด Dot Plot ในปี 67 ลงจากเดิมราว 25-50bps เนื่องจากเงินเฟ้อสหรัฐชะลอลง ซึ่งหากเป็นไปตามคาดจะเป็นปัจจัยหนุนสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก
"อย่างไรก็ตาม หลังจากตลาดหุ้นไทยลงไปมากแล้ว จึงเชื่อว่าจากนี้น่าจะปรับตัวขึ้นมาได้ เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติเหลือขายสุทธิหุ้นไทยได้อีกไม่มาก โดยวันพรุ่งนี้ตลาดฯ มีโอกาสรีบาวด์ หากเฟดปรับลด Dot Plot ปี 67 ลงตามคาด และยังคาดหวังแรงหนุนจากการเข้าซื้อของกองทุน TESG มอง แนวรับไว้ที่ 1,345-1,340 จุด และแนวต้าน 1,380 จุด" นายกรภัทร กล่าวทิ้งท้าย