ซีแพนเนล เผยไตรมาส 4 โตดี เจรจาลูกค้าต่อเนื่อง มุ่งเน้นโครงการโรงแรม-คอนโดฯ เข้าพอร์ต ปัจจัยบวกนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยว วีซ่าต่างชาติระยะยาว ดันดีมานด์ที่อยู่อาศัยเพิ่ม อัตราดอกเบี้ยสูง ค่าแรงขั้นต่ำเพิ่ม แรงงานลด หนุนความต้องการ Precast Concrete ก่อสร้างเร็ว ลดต้นทุน
นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) หรือ CPANEL ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) ด้วยระบบอัตโนมัติ (Fully Automated Precast) ที่ใช้สำหรับงานก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจไตรมาส 4 ปี 2566 แนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและแนวโน้มความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น โดยบริษัทอยู่ระหว่างเจรจาลูกค้าต่อเนื่อง ทั้งแนวราบ แนวสูงในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และตามหัวเมืองใหญ่ มุ่งเน้นการออกแบบหลากหลาย เช่น โรงแรม คอนโดมิเนียม
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์มีปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยว และวีซ่าต่างชาติระยะยาว ส่งผลให้ชาวต่างชาติเข้ามาพักอาศัยในประเทศไทยมากขึ้น ทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและแนวสูงมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น อัตราดอกเบี้ยในประเทศปรับตัวสูงขึ้น ค่าเงินผันผวน ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่กระจายอยู่ในหลายภูมิภาค ประกอบกับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และแรงงานที่ลดลง อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการก่อสร้างและกระแสเงินสด ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หันมาใช้ Precast Concrete เนื่องจากสามารถช่วยลดต้นทุน ก่อสร้างได้รวดเร็ว ทำให้มีสภาพคล่องทางการเงินมากขึ้น
อีกทั้งบริษัทมุ่งเน้นกลยุทธ์การเป็น Green Construction Technology เช่น การลดคาร์บอนในกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง การวางแผนที่จะเปลี่ยนพลังงานเป็น Renewable Energy และเปลี่ยนวัตถุดิบให้เป็นวัสดุลดคาร์บอน ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ลูกค้า ปัจจัยดังกล่าวถือเป็นโอกาสในการรับงานและสร้างการเติบโตให้บริษัทในอนาคต
ทั้งนี้ ผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 2566 บริษัทมีรายได้รวม 328.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 316.73 ล้านบาท จำนวน 11.73 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3.70% และมีกำไรสุทธิ 47.90 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 48.97 ล้านบาท ส่วนผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2566 (ก.ค.-ก.ย.) บริษัทมีรายได้รวม 103.51 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 13.28 ล้านบาท