บล.กสิกรไทย มองหุ้นทรูแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง อันดับเครดิต A+ สภาพคล่องดี เป็นโอกาสเก็บ รอกำไรอีก 2 ปี
นายพิสุทธิ์ งามวิจิตวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า หลังการควบรวมกิจการทรู-ดีแทค คาดว่าบริษัทจะสามารถทำกำไรได้ในปี 2568 จากการดำเนินการปรับโครงสร้างต้นทุนเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ดียิ่งขึ้น
“จากรายงานงบการดำเนินการ คำมั่นจากผู้บริหาร และการประชุมนักวิเคราะห์ เมื่อคืนที่ผ่านมาถือเป็นข่าวบวกของทรู เพราะตัวเลขการขาดทุนลดลง ซึ่งเป็นการลดลงกว่าที่นักวิเคราะห์ รวมถึงตลาดคาดการณ์เอาไว้ หากไม่มีปัจจัยอื่นมากระทบตลาด เชื่อว่าหุ้นทรูจะปรับตัวดีขึ้น สำหรับ บล.กสิกร แนะนำซื้อ ในราคาเป้าหมายสิ้นปีหน้าอยู่ที่ 9.28 บาท” นายพิสุทธิ์ กล่าว
โดยทรูได้รับปัจจัยสนับสนุนหลายประการที่ส่งเสริมด้านความเชื่อมั่นและสภาพคล่องของบริษัท ได้แก่ 1.อันดับเครดิตเรตติ้งที่ดีในระดับ A+ 2.ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่แข็งแกร่ง 3 ราย คือ เครือเจริญโภคภัณฑ์ เทเลนอร์ และไชน่าบาย ที่จะคอยเป็นแบ็กอัปชั้นดี 3.หุ้นกู้ทรูที่มีอันดับเครดิตเรตติ้งสูง เป็นตัวดึงดูดนักลงทุนที่จะวิ่งเข้าหา เพราะมั่นใจในความปลอดภัย 4.เงินทุนสำรองที่เพียงพอ โดยทรูมีระดับเงินสำรองในสถาบันการเงินต่างประเทศสูงถึง 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ และสถาบันการเงินในประเทศอีก 8,500 ล้านบาท จึงส่งเสริมด้านเสถียรภาพทางการเงิน
ทั้งนี้ ทรูได้รายงานผลการดำเนินงานทางการเงินที่ปรับตัวดีขึ้นสำหรับไตรมาสที่ 3/2566 โดยได้แรงหนุนจากรายได้บริการที่เพิ่มขึ้นและจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง EBITDA ที่เป็นมาตรฐานดีขึ้นเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกันนับตั้งแต่การควบรวมกิจการ โดยได้ประโยชน์จากการผสานรวมกัน และการริเริ่มดำเนินการสู่การเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องตามแผนที่วางไว้ ตอกย้ำสถานภาพทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท
โดยมีรายได้จากการให้บริการสุทธิ 4.4 พันล้านบาท ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อ (ค่าใช้จ่ายการลงทุน) CAPEX และ EBITDA มีจำนวนผู้ใช้บริการมือถือเพิ่มขึ้น 254,000 ราย รวมเป็น 51.4 ล้านราย โดยเพิ่มขึ้น 0.5% จากไตรมาสที่ผ่านมา จำนวนผู้ใช้งาน 5G สูงถึง 9.4 ล้านราย เพิ่มขึ้น 13% จากไตรมาสก่อน มีฐานผู้ใช้งานดิจิทัลรวมประมาณ 15 ล้านราย ซึ่งโดยรวมนับว่ารายได้ของทรูแซงหน้าผู้ให้บริการรายอื่นในอุตสาหกรรม
สำหรับโครงการดำเนินการรวมโครงสร้างเสาสัญญาณภายใต้โครงข่ายเดียว (Single Grid) มีความคืบหน้าเป็นไปตามแผนหลังจากการเริ่มดำเนินการเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยโครงการ Single Grid อัจฉริยะที่เพิ่มจำนวนสถานีฐาน ผ่านการบริหารจัดการจำนวนสถานีฐานและการขยายเครือข่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการดำเนินการ Single Grid จะเดินหน้าอย่างเต็มที่ในไตรมาสที่ 4 ตามแผนที่กำหนดไว้ สอดคล้องตามกลยุทธ์ของบริษัท เพื่อเพิ่มความมั่นใจได้ว่าผู้ใช้บริการจะได้คุณภาพการบริการที่ดีขึ้นกว่าเดิม
ในด้านความยั่งยืน ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงครองอันดับ 1 ดัชนีความยั่งยืนระดับโลก DJSI กลุ่มสื่อสารโทรคมนาคมของโลก 5 ปีซ้อน และคงสถานะสมาชิกดัชนีความยั่งยืน DJSI ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 สะท้อนถึงความเป็นผู้นำเทคโนโลยีดิจิทัลที่มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจด้วยความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรมจนเป็นที่ยอมรับระดับสากล ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล
สำหรับการคาดการณ์ในปี 2566 ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงแนวโน้มสำหรับปี 2566 ซึ่งคิดเป็นระยะเวลา 10 เดือนของการดำเนินงานนับจากวันที่ควบรวมกิจการเสร็จสิ้น โดยคาดว่า EBITDA จะมีการเติบโตที่เป็นตัวเลขหลักเดียวในระดับต่ำ-ปานกลาง (low-to-mid single digit) และยังคงแนวโน้มที่ทรงตัวสำหรับรายได้จากการให้บริการไม่รวมรายได้ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) ทั้งนี้ เงินลงทุน หรือ CAPEX ประมาณการไว้ที่ 25,000-30,000 ล้านบาท ตามที่เคยประกาศไว้