xs
xsm
sm
md
lg

วิจัยกรุงศรีฯ คาดเฟดตรึงดอกเบี้ยถึงกลางปีหน้า จับตาสงครามอิสราเอลลุกลามกระทบขนส่ง-ราคาน้ำมัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สายงานวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ประเมินกรณีสงครามอิสราเอล-ฮามาส ในเบื้องต้นไม่กระทบต่อมุมมองดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในไตรมาส 4 โดยในเดือนกันยายนตัวเลขดัชนีผู้ผลิต (PPI) เพิ่มขึ้น 2.2% YoY จากเดือนก่อนหน้าที่ 2.0% ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตพื้นฐานเพิ่มขึ้น 2.7% YoY จากเดือนก่อนหน้าที่ 2.5% ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพิ่มขึ้น 3.7% YoY ไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเพิ่มขึ้น 4.1% YoY ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 4.3% นอกจากนี้ ในเดือนตุลาคม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวลงสู่ระดับ 63 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 68.1 ทำระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม

อย่างไรก็ตาม ภาวะสงครามระหว่างอิสราเอล-ฮามาส ส่งผลให้การคาดการณ์ทิศทางราคาพลังงานและอัตราดอกเบี้ยในไตรมาส 4 มีความไม่แน่นอนเพิ่มสูงขึ้น ผลกระทบจะขึ้นอยู่กับขอบเขตของสงครามว่าจะอยู่ในวงจำกัดหรือขยายขอบเขตไปทั่วภูมิภาคของตะวันออกกลาง จากการประเมินเบื้องต้นในกรณีที่ความขัดแย้งไม่ลุกลามคาดว่าราคาพลังงานมีแนวโน้มปรับขึ้นในกรอบจำกัดภายใต้เศรษฐกิจโลกที่อยู่ในทิศทางชะลอตัว ซึ่งจะช่วยให้อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ยังอยู่ในกรอบประมาณการเดิมที่ 3.3% และ 2.5% ในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ เมื่อประกอบกับแรงกดดันเงินเฟ้อพื้นฐานที่ลดลงต่อเนื่อง รวมถึงค่าจ้างเฉลี่ยตลาดแรงงานที่ชะลอตัว วิจัยกรุงศรีจึงประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% อย่างน้อยจนถึงกลางปี 2567 เพื่อให้สอดคล้องกับสัญญาณการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่มีความชัดเจนมากขึ้น รวมถึงอัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่เป็นบวกมากที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2551

ด้านเศรษฐกิจไทยความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับดีขึ้นต่อเนื่องในเดือนกันยายน ส่วนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตคาดว่าจะชัดเจนปลายเดือนตุลาคมนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนกันยายนปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 สู่ระดับสูงสุดในรอบ 42 เดือนที่ 58.7 จาก 56.9 ในเดือนสิงหาคม ปัจจัยหนุนจากผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นหลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่และได้มีมาตรการช่วยเหลือประชาชนเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านค่าไฟฟ้า และราคาน้ำมันดีเซล การพักหนี้เกษตรกรรายย่อย และมาตรการสนับสนุนภาคท่องเที่ยว

ส่วนการบริโภคภาคเอกชนในช่วงครึ่งหลังของปียังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากช่วงครึ่งแรกของปีที่ขยายตัวสูงกว่า 6.8% YoY ปัจจัยหนุนนอกจากมาตรการต่างๆ ของภาครัฐแล้ว ความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังมีทิศทางทยอยปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่น คาดการณ์ในอีก 6 เดือนข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ 66.7 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 64.2 ในเดือนสิงหาคม อย่างไรก็ตาม แม้ล่าสุดจะมีความคืบหน้าจากการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อขับเคลื่อนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท แต่ยังต้องรอความชัดเจนในประเด็นต่างๆ เช่น เงื่อนไขและขอบเขต (รัศมี) ในการใช้จ่าย รวมถึงแหล่งที่มาของเงินที่ใช้ในโครงการและการบริหารจัดการหนี้ โดยทาง รมช.คลังระบุแผนกำหนดการเบื้องต้นว่าจะสามารถสรุปรายละเอียดทั้งหมดของโครงการได้ภายในเดือนตุลาคมนี้

การลงทุนภาคเอกชนยังเติบโตต่ำแม้มีสัญญาญเชิงบวกอยู่บ้างจากยอดขอรับส่งเสริมที่เพิ่มขึ้น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) รายงานในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2566 (เดือนมกราคม-สิงหาคม) มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมรวม 1,375 โครงการ เพิ่มขึ้น 33% YoY และมีมูลค่าเงินลงทุน 465,058 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47% ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ด้านข้อมูลการออกบัตรส่งเสริม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุด มีจำนวน 1,106 โครงการ เพิ่มขึ้น 17% เงินลงทุนรวม 288,708 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อนถือเป็นสัญญาณบวกว่าจะมีเงินลงทุนจริงในอีก 1-2 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวเป็นลำดับ

โดยการลงทุนภาคเอกชนในช่วงครึ่งแรกของปีนี้เติบโตเพียง 1.8% YoY ขณะที่เครื่องชี้ล่าสุดจากดัชนีการลงทุนภาคเอกชนในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมยังมีทิศทางฟื้นตัวไม่ชัดเจน โดยหดตัวที่ 1.1% แม้ส่วนหนึ่งของการลงทุนจะได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของกิจกรรมในประเทศและภาคท่องเที่ยวก็ตาม แต่ยังมีปัจจัยลบจากภาคส่งออกที่ยังอ่อนแอ ตามภาวะการค้าโลกและอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัว ขณะที่ล่าสุดปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้นในอิสราเอล ในเบื้องต้น หากสถานการณ์ไม่ลุกลามรุนแรงคาดว่าจะมีผลกระทบทางตรงต่อการส่งออกของไทยค่อนข้างจำกัด เนื่องจากอิสราเอลนับเป็นประเทศคู่ค้าลำดับที่ 40 ของไทย จากในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ไทยมีมูลค่าการส่งออกไปอิสราเอลอยู่ที่ 546 ล้านดอลลาร์ (หรือคิดเป็น 0.3% ของมูลค่าการส่งออกรวม) ขยายตัว 12.6% YoY โดยสินค้าส่งออกสำคัญ เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ฮามาสยังมีความไม่แน่นอนสูงและยังไม่สามารถปฏิเสธโอกาสที่จะเกิดสถานการณ์เลวร้าย ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาคการค้า การลงทุน และต้นทุนการผลิตผ่านปัญหาด้านการขนส่งและการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก
กำลังโหลดความคิดเห็น