ตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค.2566 ที่ผ่านมา หลังจากกลุ่มฮามาส หรือองค์กรการเมืองติดอาวุธของชาวปาเลสไตน์ ซึ่งปกครองฉนวนกาซา เปิดปฏิบัติการ Al-Aqsa Flood ยิงจรวดเข้ามาในอิสราเอลเป็นวงกว้างและส่งกองกำลังติดอาวุธเข้าไปโจมตีเมืองทางตอนใต้ของอิสราเอล โดยอ้างเหตุผลการโจมตีว่าเพื่อตอบโต้ต่อความโหดร้ายทั้งหมดที่ชาวปาเลสไตน์ต้องเผชิญจากอิสราเอลตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา และการโจมตีดังกล่าว ทำให้นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ออกแถลงการณ์ประกาศให้ “อิสราเอลเข้าสู่ภาวะสงคราม” และโจมตีตอบโต้กลุ่มฮามาส
ขณะเดียวกัน ได้สร้างความกังวลให้กับทั่วโลก ว่า สถานการณ์อาจลุกลามบานปลาย ยกระดับความตึงเครียดสู่ระดับภูมิภาค และจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงไทย
ทั้งนี้ ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์ อธิบดีทุกกรมที่เกี่ยวข้อง ติดตามสถานการณ์ในอิสราเอลอย่างใกล้ชิดเป็นรายวัน และหากมีปัญหาอุปสรรคใด ขอให้รีบรายงานสถานการณ์ด่วน เพื่อทางรัฐบาลจะได้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที
พร้อมกับมอบให้สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ติดตามและรายงานความเห็นในข่าวของต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ วิเคราะห์และประเมินผลกระทบที่อาจส่งผลต่อการค้าของไทย ให้ทูตพาณิชย์ทั่วโลกจับตาข้อมูลที่เกี่ยวข้องในประเทศของตนรายงานให้ทราบ โดยเฉพาะทูตพาณิชย์ในตะวันออกกลาง ขอให้วิเคราะห์สถานการณ์และรายงานให้ทราบอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย ตลอดจนการดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง หากจำเป็น ส่วนกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ วิเคราะห์ผลกระทบต่อแผนความร่วมมือทางการค้า โดยเฉพาะการเปิดเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-อิสราเอล
การค้าไทย-อิสราเอล-ปาเลสไตน์ไม่กระทบ
ล่าสุด สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ได้ประเมินกระทบทางตรงต่อการค้าระหว่างประเทศของไทยในเบื้องต้นแล้ว พบว่า กรณีที่สถานการณ์การสู้รบที่อยู่ในพื้นที่จำกัด (บริเวณฉนวนกาซา) ยังไม่มีการปิดประเทศ หรือปิดกั้นระบบการขนส่งทั้งหมด น่าจะยังไม่กระทบต่อการส่งออกของไทยไปยังประเทศคู่ขัดแย้ง (อิสราเอลและปาเลสไตน์) หรือหากกรณีที่ไม่สามารถส่งออกไปได้ ก็จะไม่ได้ส่งผลต่อการส่งออกรวมของไทยมากนัก เนื่องจากอิสราเอลและปาเลสไตน์ไม่ใช่คู่ค้าสำคัญอันดับต้น ๆ ของไทย มีมูลค่าการค้าระหว่างกันค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับปริมาณการค้าต่างประเทศของไทย ยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ จึงเชื่อว่าสงครามดังกล่าวจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศในภาพรวมของไทยมากนัก
โดยในปี 2565 อิสราเอลเป็นคู่ค้าลำดับที่ 42 ของไทย การค้าระหว่างไทย–อิสราเอลมีมูลค่า 1,401.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 10.0 คิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 0.2 ของการค้ารวมของไทย โดยการส่งออกของไทยไปอิสราเอล มีมูลค่า 850.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 2.9 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.3 ของการส่งออกของรวมของไทย มีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ สัดส่วน 28.6% อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป 9.6% อัญมณีและเครื่องประดับ 9.6% ตู้เย็น ตู้แช่แข็งและส่วนประกอบ 4.1% ข้าว 3.8% เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 3.0% ผลิตภัณฑ์ยาง 3.0% เม็ดพลาสติก 2.5% ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ 2.4% เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ 2.2% เป็นต้น
การนำเข้าของไทยจากอิสราเอล มีมูลค่า 551.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 22.9 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.2 ของการนำเข้ารวมของไทย โดยมีสินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ เครื่องเพชรพลอยและอัญมณี สัดส่วน 26.1% ปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์ 15.5% เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ 10.3% เคมีภัณฑ์ 6.2% เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 5.6% ยุทธปัจจัย 5.3% เครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ การแพทย์ 5.3% แผงวงจรไฟฟ้า 4.9% ผัก/ผลไม้และของปรุงแต่ง 4.0% ผลิตภัณฑ์ทำจากพลาสติก 2.1% เป็นต้น
สำหรับปาเลสไตน์ เป็นคู่ค้าลำดับที่ 186 ของไทย การค้าระหว่างไทย–ปาเลสไตน์ มีมูลค่า 5.0 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 113.3 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.001 ของการค้ารวมของไทย โดยการส่งออกของไทยไปปาเลสไตน์ มีมูลค่า 5.0 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 113.3 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.002 ของการส่งออกรวมของไทย โดยมีสินค้าส่งออก อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ สัดส่วน 62.8% อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป 33.7% กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ 2.1% และเครื่องดื่ม 1.4% เป็นต้น และการนำเข้าของไทยจากปาเลสไตน์ ปาเลสไตน์ มีมูลค่านำเข้าน้อยมากเพียง 1,316 เหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 408.1 โดยมีสินค้านำเข้า อาทิ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ สัดส่วน 56.9% เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ 22.1% และนาฬิกาและส่วนประกอบ 21.0% เป็นต้น
ต้นทุนขนส่งสินค้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ในด้านต้นทุนค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ พบว่า มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในเส้นทางที่มีสงคราม เช่น ค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศและค่าประกันภัยในเส้นทางที่เกิดเหตุการณ์ไม่ปกติอาจปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งความล่าช้าในการขนส่ง ทั้งนี้ อาจต้องติดตามสถานการณ์ท่าเรือนำเข้าที่สำคัญของอิสราเอลอย่างท่าเรือ Haifa ท่าเรือ Ashdod หากเกิดกรณีที่มีการยกระดับความขัดแย้งขึ้น เพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศต่อไป
จับตาราคาน้ำมันตลาดโลกพุ่ง
ทางด้านผลกระทบทางอ้อม พบว่า ตลาดน้ำมันดิบมีแนวโน้มผันผวนไปในทิศทางสูงขึ้น โดยหลังเกิดเหตุการณ์สู้รบส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเมื่อวันที่ 9 ต.ค.2566 ปรับตัวพุ่งสูงกว่า 4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากความกังวลว่าสถานการณ์ความไม่สงบอาจกระตุ้นให้เกิดความไม่มั่นคงในภูมิภาค ส่งผลกระทบต่อการผลิตและการขนส่งน้ำมันในตะวันออกกลาง ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากข้อมูลในอดีต พบว่าความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์มักจะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากความกังวลต่อการหยุดชะงักของห่วงโซอุปทานน้ำมันดิบ
อย่างไรก็ตาม หากความขัดแย้งไม่ขยายวงกว้างมากขึ้น น่าจะทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากอิสราเอลและปาเลสไตน์ไม่ใช่ผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ในตลาดโลก (พื้นที่สงครามมีการผลิตน้ำมันดิบเพียง 7.2 แสนบาร์เรลต่อวัน) และไม่ได้กระทบต่อการขนส่งน้ำมันที่คลองคลองสุเอซมากนัก
ผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ล่าสุด นิตยสาร Fortune ได้รวบรวมมุมมองนักลงทุน นักเศรษฐศาสตร์ และนักกลยุทธ์ ต่อผลกระทบต่อตลาดโลกจากเหตุการณ์โจมตีอิสราเอล สรุปได้ว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกอยู่ท่ามกลางอุปสงค์ที่ชะลอตัวทั่วโลกอยู่แล้ว จากการใช้นโยบายการเงินตึงตัว การคงดอกเบี้ยสูงยาวนาน ส่งผลต่อกำลังซื้อผู้บริโภคและต้นทุนของผู้ผลิต โดยความตึงเครียดที่ปะทุขึ้นในตะวันออกกลาง หากขยายตัวเป็นวงกว้างและอุปทานน้ำมันยังคงตึงตัวอยู่ อาจส่งผลให้ราคาพลังงานสูงขึ้นอีกในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งจะทำลายความพยายามของธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ที่พยายามจะควบคุมอัตราเงินเฟ้อ นั่นทำให้มีแนวโน้มที่จะเกิดเงินเฟ้ออีกระลอก ซึ่งจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจและการค้าโลกชะลอตัวลงมากขึ้น
ต้องเกาะติดการค้ากับตะวันออกกลาง
นอกจากนี้ ต้องจับตาผลกระทบในภูมิภาคตะวันออกกลาง เพราะมีโอกาสที่จะเปราะบางมากขึ้น จากปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การแบ่งขั้วพันธมิตรสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และอาจมีโอกาสลุกลามเกิดความไม่สงบภายในภูมิภาคตะวันออกกลางซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทย
โดยในปี 2565 การค้าระหว่างไทย-ตะวันออกกลาง คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 7.6 ของการค้ารวมทั้งหมดของไทย การส่งออกคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.8 ของการส่งออกรวม ขยายตัวร้อยละ 23.5 และการนำเข้าคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 11.2 ของการนำเข้ารวม ขยายตัวร้อยละ 53.5 ซึ่งประเทศในกลุ่มนี้เป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพเป้าหมายการส่งออกของไทยชดเชยตลาดหลักที่ชะลอตัวในปีนี้ และเป็นแหล่งนำเข้าพลังงานสำคัญที่สุดของไทย
ดังนั้น หากสงครามระหว่างอิสราเอล–ปาเลสไตน์ ลุกลามสู่ความขัดแย้งในระดับภูมิภาค จะส่งผลให้แนวโน้มการส่งออกไปยังภูมิภาคตะวันออกกลางได้รับผลกระทบ มีแนวโน้มเติบโตชะลอลงตามความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคตะวันออกกลางที่ชะลอตัว ขณะที่การนำเข้าพลังงานอาจได้รับผลกระทบจากปัญหาการด้านการขนส่งและอุปทานน้ำมันที่ลดลงในภูมิภาค
ประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับไทย
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการ สนค. กล่าวว่า หากสถานการณ์ลุกลามจนเกิดภาวะ Shock ขึ้นในภูมิภาค เหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้นในปี 2554–2556 ในเหตุการณ์ Arab Spring ที่เกิดจากการลุกฮือของประชาชนเพื่อต่อต้านรัฐบาลในตะวันออกกลาง และได้ลุกลามขยายวงกว้างสร้างความวุ่นวายทางการเมือง ทั้งในอียิปต์ ลิเบีย เยเมน และบาห์เรน ทั่วภูมิภาคตะวันออกกลาง ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบโลกให้พุ่งขึ้นเหนือ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล กระทบต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นทางการค้ากับตะวันออกกลาง และทำให้การส่งออกของไทยไปยังภูมิภาคดังกล่าวชะลอลง
โดยการส่งออกไปตะวันออกกลางในช่วง Arab Spring ปี 2554 มีมูลค่า 10,772 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 11.4 ปี 2555 มีมูลค่า 11,448 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 6.3 ปี 2556 มีมูลค่า 11,516 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 0.6
ส่วนการนำเข้า กรณีที่สถานการณ์ยังอยู่ในวงจำกัด ประเทศไทยจะยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงต่ออุปทานน้ำมัน เพราะไม่ได้มีการนำเข้าน้ำมันจากอิสราเอลหรือปาเลสไตน์ และมีการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากหลากหลายแหล่ง แต่หากสถานการณ์ขยายขอบเขตสู่ระดับภูมิภาคจะส่งผลกระทบต่อการนำเข้าน้ำมันดิบของไทยค่อนข้างมาก เนื่องจากภูมิภาคตะวันออกกลางคือแหล่งนำเข้าสินค้าพลังงาน (น้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป ก๊าซธรรมชาติ) ที่สำคัญของไทย โดยไทยนำเข้าสินค้าพลังงานจากตะวันออกกลางคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 52.3 ของการนำเข้าสินค้ากลุ่มดังกล่าวทั้งหมดของไทย
จับตานักท่องเที่ยวอิสราเอลลดลง
นายพูนพงษ์กล่าวว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้น ยังจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลมายังไทย ที่คาดว่าจะลดลง เนื่องจากการประกาศภาวะสงคราม ทำให้ไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ ความตื่นตระหนกสร้างความกลัวทำให้นักท่องเที่ยวเก็บเงินเพื่อใช้สำหรับสิ่งจำเป็นรักษาชีวิตมากกว่าที่จะเดินทางท่องเที่ยว อาจทำให้ไทยสูญเสียรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลที่มาเที่ยวไทย ประมาณ 16,000 ล้านบาทต่อปี (ประมาณการจากรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลในช่วงก่อนการเกิดโควิด-19 ที่มา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย)
ทั้งนี้ ใน 8 เดือนของปี 2566 นักท่องเที่ยวอิสราเอลที่เดินทางมาเที่ยวไทย มีจำนวน 159,263 คน คิดเป็นร้อยละ 0.9 ของจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติรวมที่เข้ามาไทย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ร้อยละ 139.6 แต่นักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลมีสัดส่วนน้อยมาก เมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด และการใช้จ่ายต่อหัวไม่ได้สูงมาก การลดลงของนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล จึงไม่น่าจะกระทบกับภาพรวมการท่องเที่ยวไทยมากนัก
ผลกระทบด้านการลงทุนมีไม่มาก
นอกจากผลกระทบด้านการท่องเที่ยว ผลกระทบด้านการลงทุน พบว่า มีไม่มาก เพราะนักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนในอิสราเอลจำนวนน้อยมาก แม้ว่าอิสราเอลจะเปิดกว้างรับนักลงทุนต่างชาติถือหุ้นได้ 100% (ยกเว้นด้านการทหารและความมั่นคง) โดยสาขาที่รัฐบาลอิสราเอลสนับสนุนเป็นพิเศษ ได้แก่ เคมีอินทรีย์ เครื่องมือแพทย์ พลังงานชีวภาพ โทรคมนาคม และ ICT
อย่างไรก็ตาม ไม่มีการลงทุนจากอิสราเอลในไทยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จากข้อมูลจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ระบุว่า ในช่วงปี 2563–2565 มีโครงการลงทุนของอิสราเอลที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI จำนวน 11 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 186 ล้านบาท (ปี 2563 มีจำนวน 1 โครงการ มูลค่า 1 ล้านบาท ปี 2564 มีจำนวน 4 โครงการ มูลค่า 147 ล้านบาท และปี 2565 มีจำนวน 5 โครงการ 38 ล้านบาท) ซึ่งยังไม่มีโครงการใดได้รับการอนุมัติ
อย่างไรก็ตาม สนค. มองว่า ทางออกทางการทูตมีความจำเป็นเร่งด่วนต่อสถานการณ์นี้ ประชาคมโลกจะต้องร่วมมือกันไกล่เกลี่ย และกำหนดเส้นทางสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนและสันติ เพื่อที่จะลดระดับความรุนแรงของวิกฤตและแสวงหาสันติภาพร่วมกันของประชาคมโลก เพราะบทเรียนของสงครามรัสเซีย-ยูเครน สะท้อนให้เห็นว่าความเสี่ยงที่วิกฤตจะยืดเยื้อยาวนาน จากรากฐานของปัญหาเกิดจากข้อพิพาทเรื่องอาณาเขตที่ดินและอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ที่มีร่วมกันทางประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อน เมื่อไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง และความขัดแย้งได้บานปลายไปสู่การเผชิญหน้าทางทหารอย่างเต็มรูปแบบ จะก่อให้เกิดผลกระทบกระจายวงกว้างไปทั่วโลก