ฝ่ายวิจัย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ประเมินว่า ไตรมาส 3/66 TU จะทำกำไรสุทธิได้ 1.05 พันล้านบาท ลดลง 58% yoy แต่เพิ่มขึ้น 2% qoq แรงกดดันจากรายได้การขายน่าจะลดลง 18% yoy และ 2% qoq ผลจากลูกค้าลดสต๊อก ราคาขายเฉลี่ยผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูป OEM ลดลง และยอดขายอาหารทะเลแปรรูปลดลง จากฐานที่สูงในไตรมาส 2/66
ทั้งนี้ คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ในไตรมาส 3 เพิ่มเป็น 17.3% จาก 16.9% ในไตรมาส 2 หลังต้นทุนวัตถุดิบปลาทูน่าลดลง แต่ยังต่ำกว่า 18% ในไตรมาส 3 ปีที่แล้ว เนื่องจากต้นทุนปลาแพง และประสิทธิภาพการผลิตลดลงตามปริมาณขายที่ลดลง
ฝ่ายวิจัย ซีจีเอสฯ ยังคาดว่า Red Lobster (RL) จะขาดทุนจากการดำเนินงานปกติ 250 ล้านบาทในไตรมาส 3 นี้ แม้จะดีขึ้นจากขาดทุน 339 ล้านบาทในไตรมาส 3 ปีที่แล้ว แต่ขาดทุนสูงขึ้นเมื่อเทียบกับขาดทุน 94 ล้านบาทในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา เนื่องจากไตรมาส 3 เป็นช่วงโลว์ซีซันของ RL
ขณะที่ราคาปลาทูน่า Skipjack ในไตรมาส 3 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่เฉลี่ย 1,800 เหรียญสหรัฐ/ตัน เพิ่มขึ้น 8% yoy แต่ลดลง 10% qoq หลังราคาลดลงมาอยู่ที่ 1,700-1,800 เหรียญสหรัฐ/ตันในเดือน ส.ค.-ก.ย. โดยราคาที่ TU รับได้คือ 1,400-1,700 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่ง TU ให้ข้อมูลว่าเป็นเพราะปริมาณปลาที่จับได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ TU คาดว่าราคาปลาทูน่าจะปรับตัวลงมาอยู่เฉลี่ย 1,600 เหรียญสหรัฐ/ตันในไตรมาส 4/66 ซึ่งเราเชื่อว่าจะส่งผลดีต่อ GPM ในไตรมาส 4 และไตรมาส 1/67
ดังนั้น ฝ่ายวิจัยคาดว่าไตรมาส 4 นี้ จะเป็นไตรมาสที่ TU มีผลประกอบการแข็งแกร่งสุดในปี 66 จากอุปสงค์สินค้าของ TU ที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะอาหารสัตว์เลี้ยง และ TU พบว่าอุปสงค์ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูปเริ่มฟื้นตัว หลังราคาปลาทูน่าปรับตัวลงในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่ GPM น่าจะสูงขึ้นเพราะต้นทุนวัตถุดิบปลาทูน่าคาดจะลดลด จึงเชื่อว่าไตรมาส 4 นี้ TU จะมีกำไรสุทธิกลับมาเติบโต yoy เป็นครั้งแรก
ฝ่ายวิจัยปรับประมาณการกำไรปกติต่อหุ้นในปี 66-68 ลง 5.6-6.9% สะท้อนกำไรที่อาจต่ำกว่าคาดไตรมาส 3 นี้ และยอดขายที่ฟื้นตัวช้า แต่ยังแนะนำ “ซื้อ” TU โดยให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 67 ที่ 17.20 บาท เราเชื่อว่าธุรกิจหลักจะมีผลการดำเนินงานดีขึ้นต่อเนื่อง และ GPM จะฟื้นตัวชัดเจนในไตรมาส 4
ทั้งนี้ ธุรกิจในต่างประเทศและยอดส่งออกมีสัดส่วนประมาณ 90% ของรายได้รวมของ TU จึงมอง downside risk จะมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ และการที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวรุนแรง ส่วนการอ่อนค่าของเงินบาทและอุปสงค์สินค้าที่ฟื้นตัวแข็งแกร่งจะช่วยหนุนให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น