‘ส.ขอนแก่นฟู้ดส์’ ประเมินผลงานไตรมาส 4 โดดเด่น ชี้ปัจจัยบวกไทยเปิดฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวจีนยกระดับเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เตรียมออกแคมเปญสื่อสารการตลาดและสินค้าใหม่แบรนด์ ส.ขอนแก่น และอองเทร่ หวังสร้างสีสันกระตุ้นตลาดช่วงปลายปี เดินหน้าบริหารจัดการภายในเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำกำไร และสร้างการเติบโตยั่งยืน
นายจรัญพจน์ รุจิราโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ส.ขอนแก่นฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SORKON ประเมินผลงานไตรมาส 4/2566 เติบโตโดดเด่นรับบรรยากาศการซื้อสินค้าที่ดีขึ้นหลังจากเข้าสู่ช่วงไฮซีซันของธุรกิจ ประกอบกับประเทศไทยได้เปิดฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวจีนเพื่อผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ ส่งผลดีทั้งทางตรงและทางอ้อมแก่บริษัท โดย SORKON ได้เริ่มวางจำหน่ายสินค้าแพกไซส์ใหญ่ภายใต้แบรนด์ ส.ขอนแก่น เพื่อเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยว รวมถึงเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มขนมขบเคี้ยว แบรนด์อองเทร่ (ENTREE) จำนวน 3 SKUs พร้อมจัดกิจกรรมทางการตลาดและโปรโมชันส่งเสริมการขาย เพื่อเตรียมต้อนรับช่วงเทศกาลสำคัญต่างๆ ช่วงปลายปี มั่นใจว่าจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อและการบริโภคภายในประเทศในช่วงส่งท้ายปี 2566
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ปรับกลยุทธ์การตลาด สื่อสารเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ในแพลตฟอร์ม TikTok มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมียอดคนเข้าชมแล้วกว่า 115 ล้านวิว ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้า Generation Z ซึ่งเป็นฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ ส่งผลตรงทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอีกด้วย ขณะเดียวกัน กำลังเตรียมทำแคมเปญสื่อสารการตลาดแบรนด์ ส.ขอนแก่น ในช่วงปลายปีพร้อมไปกับการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมเป็นวงกว้าง เพื่อเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น เช่น ปรับเปลี่ยนรูปแบบการขาย Merchandizing ให้มีสินค้าจำหน่ายมากกว่าเดิมที่มีเพียง 400 จุด เป็น 5,000 จุด เจาะช่องทาง General Trade กลุ่มตลาดสด ขายสินค้าเข้าร้านอาหารประเภทก๋วยเตี๋ยว เป็นต้น โดยการดำเนินงานทั้งหมดจะมุ่งใช้การประสานความร่วมกันภายในกลุ่มบริษัทเพื่อเสริมความได้เปรียบทางการแข่งขัน
ทั้งนี้ SORKON ยังคงมุ่งเน้นบริหารจัดการต้นทุนภายในเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำกำไร เช่น เพิ่มการจัดเก็บวัตถุดิบเนื้อหมูในช่วงที่ราคาต่ำที่สุดส่งผลให้มีวัตถุดิบที่จัดเก็บไว้เพียงพอสำหรับ 4-5 เดือน รวมถึงปรับโครงสร้างราคาวัตถุดิบหมูให้เหมาะสม เพื่อบริหารความเสี่ยงและลดผลกระทบจากต้นทุนที่อาจเพิ่มขึ้นในอนาคต เนื่องจากสัดส่วนรายได้หลักมาจากกลุ่มอาหารแปรรูปจากเนื้อสุกรมากกว่าธุรกิจฟาร์มหมู ทำให้การบริหารจัดการและป้องกันความเสี่ยง (Hedging) เมื่อราคาวัตถุดิบผันผวนทำได้ค่อนข้างยาก ดังนั้น บริษัทจึงมีแผนลงทุนขยายธุรกิจฟาร์มหมูเพื่อให้สามารถป้องกันความเสี่ยงและบริหารจัดการผลกำไรได้สมบูรณ์มากขึ้น
“สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกที่กำไรสุทธิลดน้อยลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้านั้นเป็นผลมาจากการตีมูลค่ายุติธรรมราคาหมู ซึ่งเป็นมาตรฐานปกติของธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้ แต่หากดูที่กำไรสุทธิจากการดำเนินงานจะพบกว่าใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา และในไตรมาส 2/66 เติบโตมากกว่าไตรมาส 1/66 ถึง 60% ส่วนแนวโน้มไตรมาส 3/66 ผลการดำเนินงานจะดีขึ้นจากต้นทุนราคาหมูที่ปรับลดลงไปก่อนหน้า ประกอบกับการจัดเก็บวัตถุดิบหมูเริ่มกลับมาสู่จุดสมดุล ทำให้ต้นทุนลดลง รวมกับแผนงานต่างๆ ที่กล่าวไปข้างต้น และช่วงไตรมาสสุดท้ายซึ่งเป็นช่วงที่เราทำยอดขายได้สูงที่สุดเสมอ บริษัทจึงมั่นใจว่ากำไรในครึ่งปีหลังนี้จะเติบโตขึ้นเกินเท่าตัวอย่างแน่นอน” นายจรัญพจน์ กล่าว