xs
xsm
sm
md
lg

แนวโน้มเส้นทางตลาดหุ้นไทย ภายใต้แผนนโยบายภาครัฐ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



แนวโน้มตลาดหุ้นไทยกับช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ยังคงมีความผันผวนอยู่ แต่ความเสี่ยงต่างๆ ก็ทยอยลดลงมาก และหลังจากที่ปัจจัยด้านการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น จากการที่พรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ โดยที่ไม่มีเหตุวุ่นวายทางการเมืองอย่างที่หลายฝ่ายกังวลเอาไว้ และในภาพรวมของตลาดหุ้นไทยอาจยังมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ไม่มากนัก เนื่องจากแรงกดดันด้านนโยบายของรัฐบาลที่กำลังจะออกมา โดยเฉพาะนโยบายลดค่าพลังงาน และการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ที่ส่งผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนหลายกลุ่ม

จากนโยบายเรื่องการปรับลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชนผ่านการปรับลดต้นทุนพลังงานต่างๆ ทั้งการลดค่าไฟฟ้า และราคาน้ำมันดีเซล ที่ทางรัฐบาลทยอยแจ้งออกมาต่อเนื่องนั้น กลายเป็นปัจจัยกดดันต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน แต่เนื่องด้วยความที่รัฐบาลมีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ ดังนั้น การออกนโยบายดังกล่าวจึงจะมีภาคส่วนงานอื่นมาช่วยแบกรับภาระ นอกจากนี้ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่คาดว่าจะมีการทยอยปรับเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีนี้ หากรัฐบาลไม่มีแผนช่วยเหลือธุรกิจต่างๆ เพิ่มเติม อาจกดดันในต้นทุนของภาคธุรกิจแย่ลง กดดันกำไรของอุตสาหกรรมโดยรวม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเยอะ เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ค้าปลีก รวมถึงค้าปลีกน้ำมัน ซึ่งสองนโยบายนี้มีแนวโน้มกดดันตลาดหุ้นไทยให้ไม่สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้มาก โดยเฉพาะนโยบายการปรับลดต้นทุนพลังงานที่กระทบต่อกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ของไทย

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยในปีหน้ายังมีมุมมองที่ยังเห็นเชิงบวกได้ จากนโยบายภาครัฐเรื่องการแจกเงินดิจิทัลหนึ่งหมื่นบาทที่คาดว่าจะมีโอกาสได้เริ่มใช้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 เพื่อกระตุ้นและผลักดันให้การบริโภคภายในประเทศสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดด เพราะเม็ดเงินจากโครงการนี้มีมูลค่าค่อนข้างสูง อีกทั้งเน้นเรื่องการบริโภคเป็นหลัก ซึ่งจะส่งผลให้แนวโน้มยอดขายของกลุ่มค้าปลีก กลุ่มอาหาร และเครื่องดื่ม ตลอดจนเครื่องใช้ไฟฟ้าปรับตัวดีขึ้นมา และอาจจะช่วยให้คุณภาพของสินทรัพย์ทางการเงินดีขึ้นมาด้วย สำหรับนโยบายต่อมาที่จะส่งผลเชิงบวกคือ นโยบายฟรีวีซ่า ที่จะเข้ามาช่วยหนุนให้ภาคการท่องเที่ยวของไทยเติบโตเพิ่มขึ้น และคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางเข้ามายังประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า และร้านค้าปลีก ได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากนโยบายนี้ นอกจากนี้ เรื่องพระราชบัญญัติงบประมาณปี 2567 ที่อาจจะล่าช้าไปกว่าสามเดือน น่าจะมีผลเริ่มบังคับใช้ได้ในปีหน้า ซึ่งอันนี้จะช่วยให้โครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการลงทุนเช่น การก่อสร้างฟื้นกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ชะงักงันไปในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ที่ผ่านมา

สำหรับการที่ตลาดหุ้นไทยจะมีแนวโน้มและโอกาสการปรับขึ้นไปได้หลังจากนี้ อาจมีปัจจัยอื่นๆ ที่ยังต้องพิจารณาประกอบด้วย เช่น แนวโน้มเศรษฐกิจโลก เม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศ อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางประเทศต่างๆ รวมถึงความแข็งแกร่งของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ยังคงเป็นนโยบายจากภาครัฐของไทยว่า หลังจากมาตรการระยะสั้นจบลงนั้น ภาครัฐมีแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาวต่อไปอย่างไร โดยเฉพาะมาตรการระยะยาวที่นักลงทุนติดตามอยู่ เช่น โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ โครงการผลักดันจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานรวมถึงสนามบิน นโยบายกระตุ้นการส่งออก ซึ่งนโยบายเหล่านี้จะเป็นตัวผลักดันให้เศรษฐกิจไทยในระยะยาวมีการขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

โดย คุณณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด
กำลังโหลดความคิดเห็น