นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (20 ก.ย.) ที่ระดับ 36.07 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 35.95 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.00-36.15 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงก่อนทยอยรับรู้ผลการประชุม FOMC และประเมินกรอบเงินบาทในช่วง 35.80-36.30 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงทยอยรับรู้ผลการประชุม FOMC โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทผันผวนอ่อนค่าลง (แกว่งตัวในช่วง 35.92-36.08 บาทต่อดอลลาร์) ตามจังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ อย่างไรก็ดี การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และเงินดอลลาร์เป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นผลการประชุม FOMC ในช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสฯ นี้ ตามเวลาในประเทศไทย
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทในวันก่อนหน้าเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเราไปมาก โดยเงินบาทอ่อนค่าหนักกว่าสกุลเงินเอเชียอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจมาจากปัจจัยภายในประเทศ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากแรงขายสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะบอนด์ หลังนักลงทุนต่างชาติต่างไม่มั่นใจต่อแนวโน้มปริมาณการออกบอนด์ของรัฐบาล นอกจากนี้ แรงขายเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้ส่งออกได้ชะลอลงไปมาก เนื่องจากผู้ส่งออกส่วนใหญ่อาจทยอยขายเงินดอลลาร์ไปพอสมควรแล้วในช่วงก่อนหน้า ทำให้การอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 35.85 บาทต่อดอลลาร์ เปิดทางให้เงินบาทอ่อนค่าทดสอบ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก
ทั้งนี้ เรายอมรับว่าการอ่อนค่าของเงินบาทที่มากกว่าคาดนั้นได้เปิดโอกาสให้เงินบาทสามารถอ่อนค่าต่อทดสอบโซนแนวต้านถัดไปแถว 36.30 บาทต่อดอลลาร์ได้เช่นกัน ซึ่งต้องจับตาทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติว่าจะเดินหน้าเทขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มขึ้นหรือไม่ โดยเฉพาะในส่วนบอนด์ หลังบอนด์ยิลด์ฝั่งสหรัฐฯ ยังคงปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ดี เรามองว่าเงินบาทอาจไม่ได้อ่อนค่าต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้เล่นส่วนใหญ่ต่างรอลุ้นผลการประชุม FOMC ในช่วงเช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้ โดยเราประเมินว่า เงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้นต่อได้บ้างหาก Dot Plot ใหม่ชี้ว่าเฟดมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่ออีก 1 ครั้งในปีนี้ และเฟดอาจไม่ได้ลดดอกเบี้ยลงเกินกว่า -1% ในปีหน้า ตามที่เคยประเมินไว้ใน Dot Plot เดือนมิถุนายน ซึ่งภาพดังกล่าวอาจหนุนให้เงินบาททยอยอ่อนค่าทดสอบโซน 36.30 บาทต่อดอลลาร์ได้ ขณะที่หาก Dot Plot ใหม่ไม่ได้ชี้ว่าเฟดพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ หรือสะท้อนว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยลงราว -1% (หรือมากกว่านั้น) ในปีหน้า เราคาดว่าเงินดอลลาร์อาจย่อตัวลงบ้าง หนุนให้เงินบาทมีโอกาสกลับมาแข็งค่าหลุดระดับ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ได้เช่นกัน
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเผชิญแรงขายเพื่อลดความเสี่ยงของบรรดาผู้เล่นในตลาด ก่อนที่จะถึงการประชุม FOMC ของเฟด นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังส่งผลให้บรรดาหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ต่างปรับตัวลง หรือทรงตัว (Amazon -1.7% Microsoft -0.1%) ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาดลดลง -0.22%
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ย่อตัวลงเล็กน้อย -0.04% กดดันโดยการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม (Hermes -1.5% Dior -1.2%) เนื่องจากผู้เล่นบางส่วนยังไม่มั่นใจต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้น อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน (Total Energies +1.7%, Shell +0.9%) ตามการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบ
ในฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มคาดการณ์ว่า Dot Plot ใหม่ของเฟดอาจยังคงสะท้อนว่าเฟดอาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้อีก 1 ครั้งในปีนี้ และเฟดอาจลดดอกเบี้ยลงไม่ได้มากเท่ากับที่เฟดเคยประเมินใน Dot Plot ก่อนหน้า ได้ส่งผลให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.37% (ซึ่งเปิดโอกาสให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นทดสอบโซน 4.40%) ทั้งนี้ เรายังคงมองว่าบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจยังคงแกว่งตัว sideway และควรรอจับตา Dot Plot ใหม่ของเฟดซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ (ปรับตัวขึ้นต่อ หรือพลิกกลับมาย่อตัวลง)
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และภาวะปิดรับความเสี่ยงในตลาดการเงินโดยรวมที่ยังหนุนการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 105.1 จุด (กรอบ 104.8-105.2 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ การพลิกกลับมาปรับตัวขึ้นของทั้งบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้ ก่อนที่จะย่อตัวลงใกล้ระดับ 1,952 ดอลลาร์ต่อออนซ์อีกครั้ง ซึ่งเรามองว่าผู้เล่นในตลาดอาจรอจับตาผลการประชุม FOMC ก่อนที่จะมีการปรับเปลี่ยนสถานะถือครองที่ชัดเจนต่อไป
สำหรับวันนี้ ก่อนที่ผู้เล่นในตลาดจะรับรู้ผลการประชุม FOMC ในช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสฯ เรามองว่าผู้เล่นในตลาดจะให้ความสนใจต่อรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษ รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของทั้ง ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และ ECB ซึ่งปัจจุบันผู้เล่นในตลาดต่างเริ่มคาดการณ์ว่า ทั้ง 2 ธนาคารกลางอาจใกล้ถึงจุดยุติการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยแล้ว หลังเศรษฐกิจชะลอตัวลงมากขึ้น
ส่วนไฮไลต์สำคัญที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด คือ ผลการประชุม FOMC ซึ่งจะรับรู้ในช่วงเวลา 1.00 น. ตามเวลาในประเทศไทยของเช้าตรู่วันพฤหัสฯ โดยเราประเมินว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% อย่างไรก็ดี ตลาดการเงินจะผันผวนไปตามการปรับคาดการณ์เศรษฐกิจ และคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) โดยเรามองว่า แนวโน้มการชะลอตัวลงต่อเนื่องของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอาจทำให้เฟดปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE ลงบ้างในปีนี้และปีหน้า แต่การปรับตัวขึ้นของราคาพลังงานในช่วงที่ผ่านมาอาจทำให้เฟดคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไป หรือปรับขึ้นเล็กน้อยในปีนี้ ขณะเดียวกัน รายงานข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดที่ยังคงสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่าคาด อาจทำให้เฟดไม่ได้ปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ เราประเมินว่าในส่วนของ Dot Plot ใหม่ อาจสะท้อนว่า เฟดได้จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วตามแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในส่วนการจ้างงาน ซึ่งล่าสุดอาจได้รับผลกระทบจากการหยุดงานประท้วงของสหภาพแรงงานยานยนต์ (United Auto Workers:UAW) อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่รัฐบาลสหรัฐฯ อาจเผชิญภาวะ Government Shutdown ในช่วงปลายปีได้ ทั้งนี้ เราไม่ปิดโอกาสที่ Dot Plot ใหม่จะยังคงชี้ว่า เฟดมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ 1 ครั้งในปีนี้ ซึ่งจะไม่ต่างจาก Dot Plot ก่อนหน้า เนื่องจากการประท้วงของ UAW หากประสบความสำเร็จอาจยิ่งทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอลงช้าตามการปรับเพิ่มขึ้นค่าแรง โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาพลังงานมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น อนึ่ง เรามองว่า หาก Dot Plot ใหม่ ไม่ได้ชี้ว่า เฟดพร้อมขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 1 ครั้ง ในปีนี้ และลดดอกเบี้ยลง -1% ตามที่ประเมินไว้ใน Dot Plot ครั้งก่อน เงินดอลลาร์อาจไม่ได้แข็งค่าขึ้นมากนัก หรืออาจทรงตัว sideway