xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าเงินบาทเปิดที่ระดับ 35.64 ผันผวนกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (8 ก.ย.) ที่ระดับ 35.64 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.61 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.50-35.70 บาท/ดอลลาร์ โดยในช่วงคืนก่อนหน้าค่าเงินบาททยอยอ่อนค่าลง (แกว่งตัวในช่วง 35.60-35.66 บาทต่อดอลลาร์) ตามการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หลังรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานออกมาต่ำกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลว่าเฟดมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้และเฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังได้กดดันราคาทองคำ ซึ่งเรามองว่าผู้เล่นบางส่วนอาจทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว และโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำดังกล่าวอาจเป็นปัจจัยที่กดดันเงินบาทในช่วงนี้เช่นกัน

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า ตราบใดที่ผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดหรือแนวโน้มการคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานขึ้น (ล่าสุดจาก CME FedWatch Tool ผู้เล่นในตลาดมองเฟดมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยต่อราว 52% และการลดดอกเบี้ยจะเริ่มในการประชุมเดือนมิถุนายนปีหน้า) เงินดอลลาร์จะยังไม่สามารถพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้ ทำให้โมเมนตัมฝั่งอ่อนค่าของเงินบาทยังคงมีอยู่ ซึ่งหลังจากที่เงินบาทได้ทยอยอ่อนค่าทะลุทุกโซนแนวต้านที่เราประเมินก่อนหน้า ทั้งโซน 35.50 บาทต่อดอลลาร์ และ 35.60 บาทต่อดอลลาร์ เรามองว่า เงินบาทมีโอกาสที่จะผันผวนอ่อนค่าต่อไปทดสอบโซนแนวต้านถัดไปแถว 35.75 บาทต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทอาจถูกชะลอลงได้บ้างจากแรงขายเงินดอลลาร์ของบรรดาผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะฝั่งผู้ส่งออก ทั้งนี้ ต้องจับตาฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติอย่างใกล้ชิดว่าจะเริ่มกลับมาซื้อสุทธิสินทรัพย์ไทยได้มากน้อยเพียงใด หลังล่าสุด แรงขายหุ้นไทยเริ่มชะลอลง ส่วนในฝั่งบอนด์ นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อมากขึ้น โดยเฉพาะในฝั่งบอนด์ระยะยาว หลังบอนด์ยิลด์ระยะยาวปรับตัวสูงขึ้นพอสมควรในช่วงนี้

รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรกและการว่างงานต่อเนื่อง (Initial & Continuing Jobless Claims) ที่ออกมาต่ำกว่าคาด ยังคงสร้างความกังวลให้ผู้เล่นในตลาดว่าเฟดอาจเดินหน้าขึ้นต่อได้ หรือเฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานขึ้น ซึ่งภาพดังกล่าว รวมถึงความกังวลผลกระทบจากการที่ทางการจีนห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐบาลกลางใช้ “Iphone” ได้กดดันให้ราคาหุ้นกลุ่มเทคฯ และกลุ่ม Semiconductor ต่างปรับตัวลดลง (Apple -2.9% Nvidia -1.7%) ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาดราว -0.32%

ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวลงต่อเนื่อง -0.14% ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ยังคงส่งผลให้หุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมและกลุ่มเหมืองแร่ต่างปรับตัวลดลงต่อเนื่อง (LVMH -1.0% Rio Tinto -2.6%) นอกจากนี้ แรงขายหุ้นกลุ่ม Semiconductor (ASML -3.8%) จากความกังวลการห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางจีนใช้ “IPhone” และอุปกรณ์สื่อสารจากต่างประเทศเป็นอีกปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นยุโรป ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Defensive อย่างกลุ่ม Healthcare (Novo Nordisk +1.9%)

ในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่าผู้เล่นในตลาดจะยังมีความกังวลว่าเฟดอาจเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น หรือคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะนี้ยังคงออกมาดีกว่าคาด แต่ทว่าผู้เล่นบางส่วนในตลาดยังเชื่อว่า เฟดใกล้ถึงจุดยุติการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว กอปรกับภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ทำให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทะลุระดับ 4.30% ก่อนที่จะย่อตัวลงบ้างสู่ระดับ 4.26% ซึ่งภาพดังกล่าวสอดคล้องกับมุมมองเดิมของเราว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยิลด์ระยะยาวถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจในการทยอยซื้อสะสมบอนด์ระยะยาว เนื่องจากระดับยิลด์ที่สูงขึ้น มี risk/reward ที่น่าสนใจและเรามองว่า หากบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่ออาจปรับตัวขึ้นไม่ได้มาก ยกเว้นว่าเฟดจะส่งสัญญาณพร้อมขึ้นดอกเบี้ยต่ออีกไม่น้อยกว่า 1 ครั้ง ซึ่งเราคงประเมินว่า โอกาสเกิดภาพดังกล่าวยังต่ำอยู่

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นตามความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดผันผวนและการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ทยอยปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 105 จุด (กรอบ 104.9-105.2 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ยังคงผันผวนใกล้ระดับ 1,943 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่าผู้เล่นบางส่วนในตลาดอาจรอทยอยซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวลงบ้าง ทำให้โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำดังกล่าวมีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง

สำหรับวันนี้ เนื่องจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอาจมีไม่มากนัก ทำให้ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดว่าจะสามารถขึ้นดอกเบี้ยต่อได้อีกหรือไม่
กำลังโหลดความคิดเห็น