นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (30 ส.ค.) ที่ระดับ 35.03 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 35.13 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.90-35.15 บาท/ดอลลาร์ โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนพอสมควร (แกว่งตัวในช่วง 34.98-35.24 บาทต่อดอลลาร์) ซึ่งแม้ว่าเงินบาทจะมีจังหวะอ่อนค่าตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ในช่วงก่อนตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้ง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) และยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) แต่เงินบาทสามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ต่อเนื่อง หลังเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงพร้อมกับการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าวออกมาแย่กว่าคาด ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดโอกาสเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยและโอกาสเฟดคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานขึ้น
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมานั้นได้ช่วยชะลอแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าลงไปบ้าง แต่ทว่า โฟลว์ธุรกรรมในช่วงปลายเดือน ซึ่งเป็นฝั่งซื้อเงินดอลลาร์ รวมถึงโฟลว์ซื้อสกุลเงินอื่น โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังค่าเงินเยนญี่ปุ่นอ่อนค่าลงพอสมควรเมื่อเทียบกับเงินบาท อาจชะลอการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินบาทในระยะสั้นนี้ได้ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์อาจกลับมาแข็งค่าขึ้นได้หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในวันนี้ออกมาดีกว่าคาด ทำให้เงินบาทอาจยังคงผันผวนในกรอบ sideway จนกว่าเราจะเห็นการกลับเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติที่ชัดเจนและต่อเนื่อง (ล่าสุด ทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติยังไม่ชัดเจน โดย แม้ว่าในฝั่งหุ้นจะเป็นการซื้อสุทธิ แต่กลับเป็นการขายสุทธิในฝั่งบอนด์)
ในส่วนของแนวรับ-แนวต้านค่าเงินบาทในระยะสั้น เราประเมินโซนแนวรับของเงินบาทในช่วงนี้ไว้แถว 34.80-35.00 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าจะเห็นสัญญาณการกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติ ถึงจะเห็นการกลับมาแข็งค่าขึ้นชัดเจนของเงินบาท ขณะที่โซนแนวต้านอาจยังอยู่ในช่วง 35.30 บาทต่อดอลลาร์ เว้นว่าปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่าของเงินบาทจะกลับมาชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น ตลาดมองเฟดมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยต่อเกิน 60% อีกครั้ง ซึ่งต้องอาศัยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาสดใส หรือดีกว่าคาด
ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 8.827 ล้านตำแหน่ง แย่กว่าที่ตลาดคาดไว้ ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างปรับลดโอกาสเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อและโอกาสเฟดคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน ซึ่งภาพดังกล่าวได้หนุนให้บรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ปรับตัวขึ้นแรง (Tesla +7.7% Nvidia +4.2%) ส่งผลให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้น +1.74% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.45%
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องราว +0.97% โดยตลาดหุ้นยุโรปยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นที่เกี่ยวกับการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน เช่น กลุ่มสินค้าแบรนด์เนม (LVMH +1.4%) รวมถึงกลุ่มเหมืองแร่ (Rio Tinto +1.7%) นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน (Shell +1.2%) หลังราคาน้ำมันดิบทยอยปรับตัวสูงขึ้น
ในฝั่งตลาดบอนด์ การปรับลดโอกาสเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยและโอกาสเฟดคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานของผู้เล่นในตลาด หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด ได้ส่งผลให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.13% อย่างไรก็ดี การเคลื่อนไหวของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจยังคงผันผวน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลการจ้างงานในวันศุกร์นี้ ทั้งนี้ เรายังคงแนะนำทยอยเข้าลงทุนบอนด์ระยะยาวในจังหวะย่อตัวหรือในช่วงบอนด์ยิลด์ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเราประเมินว่า การปรับตัวขึ้นต่อของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ นั้นอาจจำกัดอยู่ใกล้โซนจุดสูงล่าสุดแถว 4.30% ขณะที่ Risk-Reward ของการถือบอนด์ระยะยาวยังมีความคุ้มค่า
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ในช่วงก่อนตลาดรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจมาจากการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด หลังค่าเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ได้ปรับตัวอ่อนค่าหนักสู่ระดับ 147.30 เยนต่อดอลลาร์ ก่อนที่เงินดอลลาร์จะพลิกกลับมาอ่อนค่าลง ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาแย่กว่าคาด ซึ่งทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 103.6 จุด (กรอบ 103.4-104.4 จุด) ทั้งนี้ เรามองว่าเงินดอลลาร์อาจมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ sideway เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในช่วงปลายสัปดาห์ ในส่วนของราคาทองคำ การทยอยปรับตัวลดลงของทั้งบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ ได้หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวขึ้นทะลุโซนแนวต้าน 1,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และสามารถทรงตัวเหนือระดับ 1,960 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ ซึ่งในช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นนั้นอาจมีผู้เล่นบางส่วนทยอยเข้ามาขายทำกำไรการรีบาวนด์ของราคาทองคำ ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวมีส่วนช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางดอกเบี้ยเฟดผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่างอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 (คาดการณ์ครั้งที่ 2) และยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ซึ่งอาจสะท้อนถึงแนวโน้มยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในวันศุกร์นี้ได้