xs
xsm
sm
md
lg

สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดลดประมาณการจีดีพี คาด ธปท. คงดอกเบี้ยนโยบาย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดคาดเศรษฐกิจไทยจะเติบโตร้อยละ 4.3 ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 เนื่องจากภาพรวมด้านการเมืองมีความชัดเจนขึ้น ประกอบกับนโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายและนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้น และคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปอย่างน้อยถึงสิ้นปี 2568 โดยอาจมีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเป็นตัวแปร

นายทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (ไทย)
กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ในช่วงเศรษฐกิจขยายตัว แม้ว่าในระยะที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ได้รัฐบาลใหม่แล้ว เราคาดว่าการบริโภคภายในประเทศจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ตามมาด้วยการฟื้นตัวในภาคการท่องเที่ยวที่เร่งตัวขึ้น โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทยกว่า 17.5 ล้านคน โดยเฉลี่ยมีการเดินทางเข้ามาเดือนละ 2.2 ล้านคน เนื่องจากกำลังเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 3 ล้านคนตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนนี้ ทำให้ทั้งปีน่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทยประมาณ 30 ล้านคน ทั้งนี้ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 จำนวนนักท่องเที่ยวเคยอยู่ในระดับเกือบ 40 ล้านคนในปี 2562

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่หลายประการ ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดจึงปรับลดคาดการณ์ดุลบัญชีเดินสะพัดจากร้อยละ 3.6 มาอยู่ที่ร้อยละ 1.5 ของจีดีพี การขาดดุลปีงบประมาณคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 4.0 ต่อจีดีพี ในปี 2567 จากร้อยละ 3.8 ต่อจีดีพี ในปี 2566

"การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 น่าจะล่าช้า ในขณะที่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่พรรคเพื่อไทยได้หาเสียงไว้จะมีทิศทางอย่างไร จะยังคงเป็นสิ่งที่ต้องมีการติดตามดู ซึ่งในมุมมองของเรานั้นมีความเข้าใจว่าทำไมรัฐบาลจึงมุ่งที่จะกระตุ้นใช้จ่าย เพราะเป็นเซ็กเตอร์ที่แข็งแรง ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังผันผวน ส่งออกยังพึ่งพาไม่ได้ ซึ่งตรงนี้ต้องใช้ฟันดิ้ง ส่วนด้านวินัยทางการคลังนั้น ธนาคารอยากจะมองไปในข้างหน้าซึ่งตามแผนงานของรัฐบาลที่ออกมาใน 5-6 ปีข้างหน้าการขาดดุลงบประมาณ และหนี้สาธารณะลดลง ซึ่งเราขอเชื่อตามข้อมูลที่สื่อสารออกมาก่อน ส่วนผลกระทบต่อเงินเฟ้อจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น มองว่าเป็นเรื่องชั่วคราวมากกว่า จะห่วงเรื่องราคาน้ำมันที่เริ่มสูงขึ้นค่อนข้างเร็ว ราคาอาหาร สินค้าเกษตรที่สูงขึ้น จะดันให้เงินเฟ้อสูงขึ้นมากกว่าซึ่งเป็นความเสี่ยงของปีหน้าด้วย"

สะท้อนจากตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดของประเทศ ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ได้ปรับลดประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2566 ลงจากร้อยละ 4.2 มาอยู่ที่ร้อยละ 3.3 และคาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตที่ร้อยละ 4.2 ในปี 2567 จากเดิมที่คาดไว้ที่ร้อยละ 4.5 ด้วยเหตุนี้ จึงมีการปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อพื้นฐานในปีนี้ลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.3 จากเดิมที่คาดไว้ร้อยละ 1.7 โดยคาดว่าเงินเฟ้อพื้นฐานจะอยู่ที่ร้อยละ 1.5 ในปี 2567 จากเดิมที่คาดไว้ที่ร้อยละ 1.3 ในขณะที่คงคาดการณ์เงินเฟ้อทั่วไปในปี 2566 ที่ร้อยละ 1.4 อย่างไรก็ตาม ธนาคารคาดว่า เงินเฟ้อจะเพิ่มสูงขึ้นในปีหน้า

**กนง.คงดอกเบี้ย-ตลาดเงินผันผวน**
นายทิมกล่าวว่า การค่อยๆ ฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ประกอบกับความไม่แน่นอนทางการคลังและเงินเฟ้อทั่วไปที่อยู่ในระดับต่ำในช่วงที่ผ่านมาน่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ยังไม่มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมวันที่ 27 กันยายนนี้ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ดังนั้น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะยังไม่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ขณะที่เฟดยังคาดการณ์ว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน คงไม่ปิดทางที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต หากเงินเฟ้อสูงขึ้น

"แม้ว่าในการประชุม กนง.ครั้งนึ้จะคงดอกเบี้ย อาจจะมีการกลับมาพูดถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของไทยอีกในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นเร็วกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ นโยบายการคลังและการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ชัดเจนกว่านี้น่าจะทำให้เห็นความชัดเจนในทิศทางดอกเบี้ยนโยบายยิ่งขึ้น"

ด้านตลาดเงินโลกน่าจะยังมีความผันผวนจากความชัดเจนในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยที่ผ่านมา เงินบาทค่อนข้างอ่อนค่า แต่เชื่อว่าปลายปีนี้จะแข็งค่าขึ้น คาดการณ์ ณ สิ้นปีนี้ที่ 34.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากปัจจัยที่เป็นช่วง High season ของการท่องเที่ยว ความชัดเจนเรื่องการเมืองมีความชัดเจนขึ้น ขณะที่ฟันด์โฟลว์อาจจะยังไม่กลับมาเป็นบวก คงรอความชัดเจนเรื่องนโยบายที่ออกมาหลังทางการเมืองที่ตอนนี้เริ่มจะนิ่ง หากตัวเลขเศรษฐกิจไทยออกคอนเฟิร์มว่าดีขึ้น ต่างชาติน่าจะหันมามองไทยอีกครั้ง
กำลังโหลดความคิดเห็น