xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นไทยปิดร่วง -6.23 จุด ฝ่ายค้านเปิดศึกบี้นโยบายรัฐบาล กดดันความเชื่อมั่น แนะจับตาเงินเฟ้อสหรัฐ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หุ้นไทยปิดตลาดร่วง -6.23 จุด เหตุผลการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาที่มีขึ้นในวันนี้เป็นวันแรกกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน หลังฝ่ายค้านขุดหลักฐานแฉช่วงหาเสียงโต้ "อาจทำไม่ได้จริงตามสัญญา" โบรกฯแนะจับตาแถลงนโยบายวันพรุ่งนี้ พร้อมมองกรอบการลงทุนแนวรับที่ 1,535-1,530 จุด และแนวต้าน 1,560 จุด แนะติดตามปัจจัยต่างประเทศเพิ่มประเด็นโดยเฉพาะประเด็นเงินเฟ้อเดือนส.ค.ของสหรัฐที่จะประกาศออกมาในวันที่ 13 ก.ย.นี้

ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 11 กันยายน 2566 ปรับตัวลดลง -6.23 จุด หรือ -0.40% โดยปิดตลาดที่ 1,540.94 จุด มูลค่าซื้อขาย 41,601.46 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมการซื้อขายหุ้นวันนี้ดัชนีแกว่งตัวไซด์เวย์อยู่ในแนวลบตลอดทั้งวันตั้งแต่เปิดตลาด โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,550.46 จุด ในทิศทางตรงกันข้ามขาลงที่ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 1,535.82 จุด

ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้นจำนวน 142 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลงจำนวน 174 หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลงจำนวน 330 หลักทรัพย์

ด้านปริมาณการซื้อขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิกว่า -2,601.00 ล้านบาท และ นักลงทุนสถาบันขายสุทธิกว่า -213.65 ล้านบาท ในทางกลับกันพบว่า นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิกว่า +2,576.43 ล้านบาท บัญชี บล. ซื้อสุทธิกว่า +238.23 ล้านบาท

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
1.BDMS มูลค่าการซื้อขาย 1,978.55 ล้านบาท ปิดที่ 27.25 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
2.BH มูลค่าการซื้อขาย 1,512.38 ล้านบาท ปิดที่ 266.00 บาท เพิ่มขึ้น 11.00 บาท
3.PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,349.68 ล้านบาท ปิดที่ 164.50 บาท ลดลง 3.00 บาท
4.AOT มูลค่าการซื้อขาย 1,237.23 ล้านบาท ปิดที่ 71.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท
5.GPSC มูลค่าการซื้อขาย 1,079.44 ล้านบาท ปิดที่ 49.75 บาท ลดลง 1.50 บาท

ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.BH ปิดที่ 266.00 บาท เพิ่มขึ้น 11.00 บาท หรือ 4.31%
2.ADVANC ปิดที่ 218.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท หรือ 0.93%
3.CENTELปิดที่ 47.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท หรือ 2.69%
4.TQM ปิดที่ 32.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ 3.23%
5.FORTH ปิดที่ 34.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ 3.03%

ส่วนดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.PTTEP ปิดที่ 164.50 บาท ลดลง 3.00 บาทหรือ 1.79%
2.GPSC ปิดที่ 49.75บาท ลดลง 1.50 บาทหรือ 2.93%
3.BTG ปิดที่ 22.70บาท ลดลง 1.00 บาทหรือ 4.22%
4.TOP ปิดที่ 47.75บาท ลดลง 1.00 บาทหรือ 2.05%
5.CBG ปิดที่ 81.75บาท ลดลง 1.00 บาทหรือ 1.21%
 

ขณะที่ดัชนี SET100 ปิดที่ 2,099.20 จุด ลดลง -8.49 จุด หรือ -0.40% ส่วนดัชนี SET50 ปิดที่ 941.90 จุด ลดลง -4.10 จุด หรือ -0.43% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 477.51 จุด ลดลง -3.19 จุด หรือ -0.66%

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.กรุงศรี พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งไซด์เวย์ เนื่องจากนักลงทุนรอติดตามการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาที่มีขึ้นในวันนี้เป็นวันแรก และการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อเดือนส.ค.ของสหรัฐในวันที่ 13 ก.ย.นี้ ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น +0.2% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) ทำให้มีโอกาสสูงที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะตรึงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 19-20 ก.ย.นี้

ส่วนแนวโน้มวันพรุ่งนี้คาดตลาดฯ อาจแกว่งตัวขึ้นมาในแดนบวกได้เล็กน้อย จากความพยายามที่จะฟื้นตัวขึ้นจากที่ปรับลงไปในวันนี้ ให้แนวรับไว้ที่ 1,535-1,530 จุด และแนวต้าน 1,560 จุด

ในส่วนของ นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ซึ่งได้อภิปรายโต้ตอบนโยบายรัฐบาล ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคมนาคม เมื่อเวลา 18.00 น.ว่าเป็นนโยบายที่ไร้ทิศทาง ดีแต่พูดว่าจะทำ แต่ไร้ข้อผูกมัด ไร้ซึ่งสัญญาที่หาเสียงไว้ว่า 20 บาทตลอดสายก็ไม่ปรากฎ เมื่อรัฐบาลมีนโยบายที่กลวงมาก ก็ต้องไล่ดูว่านายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม รวมถึงพรรคเพื่อไทย เคยประกาศอะไรไว้สู่สาธารณะเอาไว้

นอกจากนี้ นายสุรเชษฐ์ ได้นำส่วนนึงของการหาเสียงพรรคเพื่อไทยโฆษณาไว้ว่าจะให้เอกชนลดราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าจาก 45 บาทเหลือ 20 บาท ซึ่งจะทำทันทีหลังจากได้เป็นรัฐบาลและสามารถบรรลุเป้าหมายได้ภายใน 3 เดือน แต่จากการออกมาให้สัมภาษณ์ของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ว่าไม่ใช่นโยบายเร่งด่วน เท่ากับว่าเป็นการยอมรอบความจริงว่าไม่สามารถทำได้ และเป็นเพียงการหาเสียงเพื่อให้ได้รับเลือก โดยหากเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2554 ที่ อดีต รมว.คมนาคม ได้เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนไว้ว่า นโยบาย 20 บาทตลอดสาย เป็นนโยบายล้มเหลว ไม่สามารถทำได้จริง ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงลบกับรายได้ของผู้ถือหุ้น และอาจส่งผลให้เกิดการฟ้องร้องตามมาในอนาคต


กำลังโหลดความคิดเห็น