มีกระแสข่าวว่ากลุ่มสถานีโทรทัศน์ท็อปนิวส์เจรจาซื้อกิจการช่อง JKN 18 ของ แอน จักรพงษ์ เบื้องต้นเป็นผู้ร่วมผลิตรายการข่าวในทุกช่วงข่าว รวมทั้งรายการแนะนำสินค้า จ่อเปลี่ยนชื่อเป็น TOPNEWS 18 ด้านแหล่งข่าวระบุมีการดีลกันจริง แต่โดยมารยาทต้องให้เจเคเอ็นแถลงข่าว
วันนี้ (9 ก.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า บริษัท ท็อปนิวส์ ดิจิทัล มีเดีย จำกัด เจ้าของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมท็อปนิวส์ ของกลุ่มนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ได้เจรจากับ แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เพื่อซื้อกิจการสถานีโทรทัศน์เจเคเอ็น 18 (JKN 18) ซึ่งเป็นทีวีดิจิทัล ในวงเงิน 500 ล้านบาท เบื้องต้น ท็อปนิวส์จะเข้ามาเป็นผู้ร่วมผลิตรายการกับทางสถานี โดยจะเข้ามาผลิตรายการข่าวในทุกช่วงข่าว ใช้ทีมงานและผู้ประกาศข่าวของท็อปนิวส์
ส่วนเจเคเอ็นจะผลิตรายการบันเทิง สารคดี ภาพยนตร์ ซึ่งมีคอนเทนต์ลิขสิทธิ์อยู่ในมือ ส่วนรายการแนะนำสินค้าจะเปิดทางให้กลุ่มท็อปนิวส์นำรายการจากทีวีไดเร็คมาออกอากาศ โดยเจเคเอ็นจะนำสินค้าไปฝากขายในช่องทางดังกล่าวอีกด้วย ส่วนชื่อสถานีกำลังพิจารณาข้อกำหนดของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) หากเปลี่ยนได้จะใช้ชื่อท็อปนิวส์ 18 (TOPNEWS 18)
ก่อนหน้านี้ กลุ่มเจเคเอ็นของแอน จักรพงษ์ ได้ซื้อกิจการสถานีโทรทัศน์นิว 18 จากบริษัท ดีเอ็น บรอดคาสท์ จำกัด ของกลุ่มเหตระกูล ในราคา 1,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 9 เม.ย.2564 ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อสถานีโทรทัศน์เป็น JKN 18 มาถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ ข้อมูลจากสำนักงาน กสทช.พบว่าใบอนุญาตทีวีดิจิทัลของสถานีโทรทัศน์เจเคเอ็น 18 อยู่ภายใต้บริษัท เจเคเอ็น เบสท์ ไลฟ์ จำกัด เหลือเวลาอีกไม่ถึง 6 ปี จะสิ้นสุดลงในวันที่ 24 เม.ย.2572
ผู้สื่อข่าว MGR Online สอบถามแหล่งข่าวจากสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมท็อปนิวส์ ได้ความว่า ทางผู้บริหารยืนยันว่ามีการเจรจาซื้อกิจการช่องเจเคเอ็น 18 ตามที่เป็นข่าวจากสื่อออนไลน์หลายสำนักจริง แต่ข้อมูลจากข่าวบางอย่างอาจมีความคลาดเคลื่อน ซึ่งโดยมารยาทแล้วต้องให้ทางฝั่งเจเคเอ็นเป็นผู้แถลงรายละเอียดดังกล่าวต่อไป
ในส่วนของอายุใบอนุญาตทีวีดิจิทัลของสถานีโทรทัศน์ JKN18 จะสิ้นสุดลงในปี 2572 หรือประมาณ 5 ปีนับจากนี้ ซึ่งเป็นใบอนุญาตที่ JKN ได้ซื้อต่อจากบริษัท ดีเอ็น บรอดแคสติ้ง จำกัด ของกลุ่มเหตระกูล หรือช่องทีวีเดลินิวส์เดิม และทำช่อง NEWS18 เป็นช่องข่าว ความคมชัดปกติ โดย JKN เสนอราคาในขณะนั้นที่ 1,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากดีลดังกล่าวมีการคาดการณ์ว่า JKN จะนำเงินที่ได้มาจ่ายคืนหุ้นกู้ JKN239A ที่เหลืออีก 443 ล้านบาท ก่อนจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้ในวันที่ 27 ก.ย.นี้ อย่างไรก็ดี ยังมีหุ้นกู้อีก 6 ชุดที่รอการพิจารณาของผู้ถือหุ้นกู้ในชุดแรกประกอบด้วย
1.JKN243A มูลค่า 300 ล้านบาท ออกเมื่อ 1 ก.พ.2565 ครบกำหนดไถ่ถอน 15 มี.ค.2567 อัตราดอกเบี้ย 6.55% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยผิดนัด 2% ต่อปี กำหนดต้องชำระดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน โดยจะชำระทุกวันที่ 15 พ.ค. 15 ส.ค. และ 15 พ.ย. ตลอดอายุของหุ้นกู้
2.JKN246A มูลค่า 578.60 ล้านบาท ออกเมื่อ 10 มิ.ย.2565 ครบกำหนดไถ่ถอน 10 มิ.ย.2567 อัตราดอกเบี้ย 6.25% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยผิดนัด 2% ต่อปี กำหนดต้องชำระดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน โดยจะชำระทุกวันที่ 10 มี.ค. 10 ก.ย. และ 15 ธ.ค. ตลอดอายุของหุ้นกู้
3.JKN240A มูลค่า 400 ล้านบาท ออกเมื่อ 20 ต.ค.2565 ครบกำหนดไถ่ถอน 20 ต.ค.2567 อัตราดอกเบี้ย 7% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยผิดนัด 2% ต่อปี กำหนดต้องชำระดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน โดยจะชำระทุกวันที่ 20 ม.ค. 20 เม.ย. 20 ก.ค. และ 20 ต.ค. ตลอดอายุของหุ้นกู้
4.JKN24NA มูลค่า 800 ล้านบาท ออกเมื่อ 1 พ.ย.2565 ครบกำหนดไถ่ถอน 11 พ.ย.2567 อัตราดอกเบี้ย 7% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยผิดนัด 2% ต่อปี กำหนดต้องชำระดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน โดยจะชำระทุกวันที่ 15 ก.พ. 11 พ.ค. 11 ส.ค. และ 11 พ.ย. ตลอดอายุของหุ้นกู้
5.JKN252A มูลค่า 525 ล้านบาท ออกเมื่อ 24 ก.พ.2566 ครบกำหนดไถ่ถอน 24 ก.พ.2568 อัตราดอกเบี้ย 7% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยผิดนัด 2% ต่อปี กำหนดต้องชำระดอกเบี้ยวันที่ 24 ก.พ. 24 พ.ค. 24 ส.ค. และ 24 พ.ย. ของทุกปีตลอดอายุของหุ้นกู้
6.JKN255A มูลค่า 156.60 ล้านบาท ออกเมื่อ 24 ก.พ.2566 ครบกำหนดไถ่ถอน 10 พ.ค.2568 อัตราดอกเบี้ย 7.25% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยผิดนัด 2% ต่อปี กำหนดต้องชำระดอกเบี้ยวันที่ 15 ก.พ. 10 พ.ค. 10 ส.ค. และ 10 พ.ย. ของทุกปีตลอดอายุของหุ้นกู้
อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจงบกระแสเงินสด JKN ช่วงปี 61-65 พบว่าปี 61 มีเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงานอยู่ที่ 654 ล้านบาท ปี 62 อยู่ที่ 461 ล้านบาท ปี 63 อยู่ที่ 1,440 ล้านบาท ปี 64 อยู่ที่ 512 ล้านบาท และปี 65 อยู่ที่ 1,117 ล้านบาท ขณะที่เงินสดสุทธิจากกิจกรรมลงทุนปี 61 ติดลบ 1,293 ล้านบาท ปี 62 ติดลบ 973 ล้านบาท ปี 63 ติดลบ 2,020 ล้านบาท ปี 64 ติดลบ 2,260 ล้านบาท และปี 65 ติดลบ 2,846 ล้านบาท
ส่วนเงินสดสุทธิจากกิจกรรมจัดหาเงินปี 61 ติดลบ 160 ล้านบาท ปี 62 กลับมาเป็นบวกอยู่ที่ 503 ล้านบาท ปี 63 อยู่ที่ 1,289 ล้านบาท ปี 64 อยู่ที่ 1,015 ล้านบาท และปี 65 อยู่ที่ 1,963 ล้านบาท ดังนั้นทำให้มีเงินสดสุทธิปี 61 ติดลบ 799 ล้านบาท ปี 62 ติดลบ 8.94 ล้านบาท ปี 63 เป็นบวก 709 ล้านบาท ปี 64 ติดลบ 732 ล้านบาท และปี 65 เป็นบวก 234 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หากดีลการซื้อส่วนธุรกิจช่องทีวี JKN18 บรรลุข้อตกลงเรียบร้อย คาดว่าเงินที่ได้ดังกล่าวนั้นจะเข้ามาช่วยเสริมสภาพคล่องในการชำระหนี้หุ้นกู้ของบริษัทในส่วนที่ยังคงค้างอยู่