โกลบอลกรีนเคมิคอล มองธุรกิจครึ่งปีหลัง 2566 ฟื้นตัวรับ High Season ท่องเที่ยว หนุนการใช้งาน เมทิลเอสเทอร์ เอทานอล พุ่ง ส่วนแฟตตี้แอลกอฮอล์ กลีเซอรีน ส่อแววโดดเด่น เนื่องจากผู้ผลิตเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยเริ่มสต๊อกสินค้ารองรับการผลิตสินค้ารับเทศกาลคริสต์มาส ปีใหม่ ผู้ถือหุ้นเตรียมรับปันผลระหว่างกาลที่ 0.10 บาทต่อหุ้น ที่กำหนดจ่ายวันที่ 6 ก.ย.นี้
นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดและธุรกิจครึ่งหลังของปี 2566 คาดว่าความต้องการใช้เมทิลเอสเทอร์ หรือ B100 น่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปีนี้ เนื่องจากในช่วงไตรมาส 3 นี้ จะเป็นช่วงฤดูฝน ทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลสำหรับการเดินทางและการขนส่งสินค้าไม่สูงมากนัก แต่คาดว่า อาจจะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 4 ที่เข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว
ขณะที่ความต้องการใช้แฟตตี้แอลกอฮอล์ มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากครึ่งแรกของปี 2566 แม้ว่าจะยังมีปัจจัยกดดันจากสถานการณ์ตลาดโลกต่างๆ โดยคาดว่ากลุ่มผู้ผลิตเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยส่วนบุคคล (Home and Personal Care) โดยเฉพาะผู้ผลิตครีมบำรุงผิว อาจจะเริ่มกลับมาซื้อแฟตตี้แอลกอฮอล์ เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าก่อนเทศกาลเฉลิมฉลองคริสต์มาส และเทศกาลวันปีใหม่
สำหรับความต้องการใช้กลีเซอรีน มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นสอดรับกับการที่เริ่มเข้าสู่ฤดูกาล High Season ของกลุ่มผู้ผลิตเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัย เช่นเดียวกันกับเอทานอลที่คาดว่ามีแนวโน้มความต้องการใช้ที่ฟื้นตัว เนื่องจากจากไตรมาสที่ 4 ของปีเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว คาดว่าส่งผลให้มีการใช้แก๊สโซฮอล์เพิ่มขึ้นด้วย ส่วนอุปสงค์ความต้องการใช้เมทิลเอสเทอร์ทรงตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ส่วนอุปทานของตลาดเมทิลเอสเทอร์ยังคงทรงตัว เพราะไม่มีการผลิตเพิ่มเข้ามา โดย GGC ประเมินอัตราการใช้กำลังการผลิต (Utilization Rate) ของอุตสาหกรรมจะทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 50% จากระดับราคาเป็นไปตามกลไกของตลาดราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศ (CPO-DIT)
ส่วนแฟตตี้แอลกอฮอล์จากธรรมชาติ (Natural Fatty Alcohols) คาดว่าความต้องการใช้มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับครึ่งแรกของปี 2566 แม้ว่าจะยังมีปัจจัยกดดันต่อกำลังซื้อจากความกังวลเรื่องภาวะเงินเฟ้อ สภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย และความไม่แน่นอนของสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ อย่างไรก็ตาม เริ่มเห็นสัญญาณการกลับมาซื้อสินค้าเพื่อเพิ่มปริมาณสินค้าคงคลังมากขึ้น หลังจากราคาวัตถุดิบน้ำมันปาล์มดิบมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
ประกอบกับประเทศจีนซึ่งเป็นผู้ซื้อรายใหญ่เริ่มมีการสต๊อกสินค้าเพื่อสำรองไว้ใช้ในการผลิตสินค้าสำหรับงานกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 19 ในช่วงวันที่ 23 กันยายน-8 ตุลาคม 2566 อีกทั้งในช่วงไตรมาส 4 ของทุกปี เป็นช่วงฤดูกาล High Season ของกลุ่มผู้ผลิตเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยส่วนบุคคล (Home and Personal Care) โดยเฉพาะผู้ผลิตครีมบำรุงผิวที่มีความต้องการใช้ Long Chain แอลกอฮอล์ในช่วงฤดูหนาวมากขึ้น และผู้ผลิตน้ำหอมที่มีความต้องการใช้ Short Chain แอลกอฮอล์
เพื่อเตรียมสำหรับใช้ในการผลิตสินค้าก่อนเทศกาลคริสต์มาสและเทศกาลวันปีใหม่ ส่งผลให้ภาพรวมความต้องการซื้อในตลาดผลิตภัณฑ์แฟตตี้แอลกอฮอล์มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ขณะที่อุปทานโดยรวมของอุตสาหกรรมแฟตตี้แอลกอฮอล์ คาดว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องจากผู้ผลิตรายใหญ่หลายรายหยุดดำเนินการผลิตชั่วคราวเพื่อซ่อมบำรุง และมีการลดกำลังการผลิตลงให้สอดคล้องกับอุปสงค์ที่ลดลงจากครึ่งปีแรกที่ผ่านมา และราคาขายคาดว่ามีแนวโน้มทรงตัว เป็นไปตามราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPKO) ที่ทรงตัว
ส่วนกลีเซอรีน มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นสอดรับกับความต้องการที่เริ่มเข้าสู่ฤดูกาล High Season ของกลุ่มผู้ผลิตเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัย ส่วนอุปทานโดยรวมปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากผู้ผลิตแฟตตี้แอลกอฮอล์หลายรายกลับมาดำเนินการผลิตตามปกติ
ขณะที่เอทานอล ความต้องการมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากจากไตรมาสที่ 4 ของปีเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว ส่งผลให้มีการใช้แก๊สโซฮอล์เพิ่มขึ้น ส่วนอุปทานของตลาดเอทานอลแนวโน้มทรงตัว เนื่องจากยังไม่มีการขยายกำลังการผลิตจากผู้ผลิตรายเดิม และผู้ผลิตรายใหม่เข้าสู่ตลาด ส่วนราคาขายอาจจะมีการปรับตัวลงเล็กน้อย จากราคาวัตถุดิบในการผลิตเอทานอล เช่น มันเส้นที่เริ่มปรับตัวลดลง
นอกจากนี้ ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 2566 ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในอัตรา 0.10 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นการจ่ายจากกำไรสะสมส่วนที่ยังไม่ได้จัดสรร โดยกำหนดจ่ายในวันที่ 6 กันยายน 2566นี้ สำหรับผลประกอบการประจำไตรมาส 2/2566 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวมทั้งหมด 4,744 ล้านบาท ลดลง 37% (YoY) และมี Adjusted EBITDA จำนวน 144 ล้านบาท ลดลง 82% (YoY) ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้รับผลกระทบจาก Stock Gain & NRV จำนวน 5 ล้านบาท ส่งผลให้ในไตรมาส 2/ 2566 มีกำไรสุทธิจำนวน 7 ล้านบาท (0.01 บาท/หุ้น) ลดลง 415 ล้านบาท หรือ 98% (YoY) ส่วนของผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย จำนวน 9,406 ล้านบาท ลดลง 37% (YoY) โดยรับรู้ EBITDA จำนวน 297 ล้านบาท ลดลง 78% และมี Adjusted EBITDA จำนวน 425 ล้านบาท ลดลง 66%(YoY) ทำให้ครึ่งปีแรก 2566 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ จำนวน 47 ล้านบาท ลดลง 862 ล้านบาท หรือลดลง 95%