xs
xsm
sm
md
lg

GGC กำไร 6 เดือนแรกปีนี้ดิ่ง 95% ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล 10 สต./หุ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



โกลบอลกรีนเคมิคอลจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่ 0.10 บาทต่อหุ้น แม้ว่าผลประกอบการ 6 เดือนแรกปีนี้มีกำไรสุทธิ 47 ล้านบาท ลดต่ำลง 95% แนวโน้มธุรกิจครึ่งหลังปี 2566 ฟื้นตัว รับ High Season ท่องเที่ยว หนุนการใช้งานเมทิลเอสเทอร์ เช่นเดียวกับแฟตตี้แอลกอฮอล์-กลีเซอรีน ที่มีความต้องการเพิ่มขึ้น

นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ในการประชุมครั้งที่ 9/2566 มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 2566 ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในอัตรา 0.10 บาทต่อหุ้น แม้ว่าผลประกอบการประจำไตรมาส 2/2566 บริษัทฯ รับรู้รายได้จากการขายทั้งสิ้น 4,744 ล้านบาท ลดลง 37% จากปีก่อน เป็นผลจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลงตามราคาวัตถุดิบที่ได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์ตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ถดถอย ค่าเงินที่แข็งค่าในแถบเอเชีย และสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ

อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวโน้มตลาดและธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 คาดว่า ความต้องการใช้ เมทิลเอสเทอร์ หรือ B100 น่าจะทรงตัว เมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปีนี้ เนื่องจากในช่วงไตรมาส 3 นี้จะเป็นช่วงฤดูฝน ทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลสำหรับการเดินทางและการขนส่งสินค้าไม่สูงมากนัก แต่คาดว่าอาจจะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 4 ที่เข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว

ขณะที่ความต้องการใช้ แฟตตี้แอลกอฮอล์ มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากครึ่งแรกของปี 2566 แม้ว่าจะยังมีปัจจัยกดดันจากสถานการณ์ตลาดโลกต่างๆ โดยกลุ่มผู้ผลิตเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยส่วนบุคคล โดยเฉพาะผู้ผลิตครีมบำรุงผิว อาจจะเริ่มกลับมาซื้อ แฟตตี้แอลกอฮอล์ เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าก่อนเทศกาลเฉลิมฉลองคริสต์มาสและเทศกาลวันปีใหม่

ส่วนความต้องการใช้ กลีเซอรีน มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นสอดรับกับการที่เริ่มเข้าสู่ฤดูกาล High Season ของกลุ่มผู้ผลิตเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัย เช่นเดียวกันกับเอทานอล ที่คาดว่า มีแนวโน้มความต้องการใช้ที่ฟื้นตัว เนื่องจากไตรมาสที่ 4 ของปีเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว คาดว่าส่งผลให้มีการใช้แก๊สโซฮอล์เพิ่มขึ้นด้วย

อุปสงค์ความต้องการใช้เมทิลเอสเทอร์ทรงตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ส่วนอุปทานของตลาดเมทิลเอสเทอร์ยังคงทรงตัว เพราะไม่มีการผลิตเพิ่มเข้ามา โดย GGC ประเมินอัตราการใช้กำลังการผลิต (Utilization Rate) ของอุตสาหกรรมจะทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 50% จากระดับราคาเป็นไปตามกลไกของตลาดราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศ (CPO-DIT)

แฟตตี้แอลกอฮอล์จากธรรมชาติ (Natural Fatty Alcohols) คาดว่าความต้องการใช้มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับครึ่งแรกของปี 2566 แม้ว่าจะยังมีปัจจัยกดดันต่อกำลังซื้อแต่เริ่มเห็นสัญญาณการกลับมาซื้อสินค้าเพื่อเพิ่มปริมาณสินค้าคงคลังมากขึ้น หลังจากราคาวัตถุดิบน้ำมันปาล์มดิบมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น

ประกอบกับประเทศจีนซึ่งเป็นผู้ซื้อรายใหญ่เริ่มมีการสต๊อกสินค้าเพื่อสำรองไว้ใช้ในการผลิตสินค้าสำหรับงานกีฬาเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 19 ในช่วงวันที่ 23 กันยายน-8 ตุลาคม 2566 อีกทั้งในช่วงไตรมาส 4 ของทุกปี เป็นช่วงฤดูกาล High Season ของกลุ่มผู้ผลิตเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยส่วนบุคคล (Home and Personal Care) โดยเฉพาะผู้ผลิตครีมบำรุงผิวที่มีความต้องการใช้ Long Chain แอลกอฮอล์ในช่วงฤดูหนาวมากขึ้น และผู้ผลิตน้ำหอมที่มีความต้องการใช้ Short Chain แอลกอฮอล์ เพื่อเตรียมสำหรับใช้ในการผลิตสินค้าก่อนเทศกาลคริสต์มาสและเทศกาลวันปีใหม่ ส่งผลให้ภาพรวมความต้องการซื้อในตลาดผลิตภัณฑ์แฟตตี้แอลกอฮอล์มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

ขณะที่อุปทานโดยรวมของอุตสาหกรรมแฟตตี้แอลกอฮอล์คาดว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องจากผู้ผลิตรายใหญ่หลายรายหยุดดำเนินการผลิตชั่วคราวเพื่อซ่อมบำรุง และมีการลดกำลังการผลิตลงให้สอดคล้องกับอุปสงค์ที่ลดลงจากครึ่งปีแรกที่ผ่านมา และราคาขายคาดว่ามีแนวโน้มทรงตัว เป็นไปตามราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPKO) ที่ทรงตัว เช่นเดียวกับกลีเซอรีน มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นสอดรับกับความต้องการที่เริ่มเข้าสู่ฤดูกาล High Season ของกลุ่มผู้ผลิตเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัย ส่วนอุปทานโดยรวมปรับตัวดีขึ้น

สำหรับผลประกอบการประจำไตรมาส 2/2566 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวมทั้งหมด 4,744 ล้านบาท ลดลง 37% บริษัทฯ ได้รับผลกระทบจาก Stock Gain & NRV จำนวน 5 ล้านบาท ส่งผลให้ในไตรมาส 2/ 2566 มีกำไรสุทธิจำนวน 7 ล้านบาท ลดลง 415 ล้านบาท หรือ 98% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนของผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายจำนวน 9,406 ล้านบาท ลดลง 37% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยรับรู้ EBITDA จำนวน 297 ล้านบาท ลดลง 78% และมีกำไรสุทธิ จำนวน 47 ล้านบาท ลดลง 862 ล้านบาท หรือลดลง 95%


กำลังโหลดความคิดเห็น