นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTC) เปิดเผยใน Opportunity Day ว่า ขณะนี้ความคืบหน้าในการสรรหาผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเคทีซีแทนตนที่จะหมดวาระลงในปีนี้ คาดว่าจะมีการประกาศผลการสรรหาได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้ โดยขั้นตอนในการสรรหาใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว ขณะที่แผนธุรกิจของบริษัทในปีนี้ยังคงเป้าหมายทางธุรกิจเดิมที่ได้ตั้งไว้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
โดยคาดการณ์กำไรสุทธิที่ 7,079 ล้านบาท จากครึ่งปีแรกที่ 3,678 ล้านบาท ยอดสินเชื่อรวมเติบโต 15% จากครึ่งปีแรกที่เติบโต 11.1% ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเติบโต 10% จากครึ่งปีแรกที่เติบโต 16.3% สินเชื่อบุคคลเติบโต 7% จากครึ่งปีแรกที่เติบโต 6.8% ยอดสินเชื่อเคทีซีพี่เบิ้ม 9,000 ล้านบาท จากครึ่งปีแรกที่ 1,132 ล้านบาท และสินเชื่อเคทีซีลีสซิ่ง 3,000 ล้านบาท จากครึ่งปีแรกที่ 1,402 ล้านบาท มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)ที่ 1.8% จากครึ่งปีแรกที่ 2%
"ตัวเลขเอ็นพีแอลที่สูงกว่าคาดการณ์นั้นเป็นเรื่องทางเทคนิคมากกว่า คุณภาพพอร์ตโดยรวมยังดี ตัวเลขยังต่ำกว่าอุตสาหกรรมที่ 2.5% ดังนั้น เราจึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงการสำรอง ซึ่งปัจจุบันมีอยู่เกินพอด้วยซ้ำไปที่ 400% ขณะที่ธุรกิจของสินเชื่อพี่เบิ้ม มองว่าครึ่งหลังของปีนี้จะเติบโตอย่างมีนัย เมื่อเทียบกับไตรมมาสก่อนหน้า (QoQ) และครึ่งปีแรกที่ผ่านมา จากช่วงที่ผ่านมาเรามุ่งสร้างการรู้จักในแบรนด์มากขึ้น จากจุดเด่นที่อนุมัติไวและขั้นตอนไม่ยุ่งยาก"
ส่วนการบริหารเงินทุนนั้น ขณะนี้บริษัทได้ใช้เงินทุนระยะยาวของบริษษัทที่ได้จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ในวงเงิน 6,000 ล้านบาท ในการขยายธุรกิจหมดแล้ว และล่าสุดในเดือน ส.ค.2566 ที่ผ่านมา KTB ให้เงินทุนดังกล่าวเพิ่มเข้ามาอีก 5,000 ล้านบาท และบริษัทเตรียมที่จะออกหุ้นกู้เองอีกในระยะต่อไป เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคต
สำหรับโมเดลการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 2567 นั้น นายระเฑียร กล่าวว่า ในปี 67 ยอมรับว่าเราต้องมีการปรับเปลี่ยนโมเดลในการดำเนินธุรกิจอีกพอสมควร โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารงานอย่างจริงจัง ทั้งด้านการดำเนินงานเพื่อลดต้นทุนด้านต่างๆ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาบริหารจัดการหลายเดือนยาวไปนเกือบ 1 ปี ขณะที่ผลิตภัณฑ์สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ (เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน) จะพัฒนามาเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของธุรกิจ เนื่องจากสินเชื่อพี่เบิ้มยังเล็กมีโอกาสเติบโตได้สูง ดังนั้น จึงเชื่อว่าในปี 2567 กำไรเคทีซซียังนิวไฮจากปีนี้ได้อย่างแน่นอน
ด้านผลกระทบจากมาตรการแก้หนี้เรื้อรังตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นั้น บริษัทพร้อมที่จะดำเนินการตามอยู่แล้ว โดยหากเป็นกรณีจ่ายดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้น 3 ปีจะมีจดหมายเตือน และกรณีลูกหนี้ที่เข้าข่ายเป็นหนี้เรื้อรังมียอดจ่ายดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้น 5 ปีรายได้ต่ำกว่า 20,000 บาทต่อเดือน หากมีความประสงค์เข้าโครงการทั้งหมดจะได้รับการผ่อนปรนดอกเบี้ยไม่เกิน 15% บริษัทประเมินผลกระทบไว้ 18 ล้านบาทต่อเดือน