"ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์" ไตรมาส 2 ฟื้นกำไร พร้อมอวดยอดขาย 1,343.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะมีกำไรขั้นต้น 122.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.7% และกำไรสุทธิ 47.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.6% อีกทั้งได้บันทึกรายการพิเศษเป็นการตัดจำหน่ายสินทรัพย์ฟาร์มทดลองที่ตรัง 20 ล้านบาท เนื่องจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากลงทุน (BOI) ได้ครบกำหนด
นายพีระศักดิ์ บุญมีโชติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM แจ้งผลงานไตรมาส 2 ปีนี้ว่าบริษัทมียยอดขายอยู่ที่ 1,343.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า กำไรขั้นต้น 122.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.7% และกำไรสุทธิ 47.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.6% ทั้งนี้ในไตรมาส 2 บริษัทมีบันทึกรายการพิเศษเป็นการตัดจำหน่ายสินทรัพย์ฟาร์มทดลองที่จังหวัดตรัง จำนวน 20 ล้านบาท เนื่องจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากลงทุน (BOI) ได้ครบกำหนด ซึ่งหากไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษนี้แล้ว บริษัทจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 67.8 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากมองเปรียบเทียบผลการดำเนินประจำไตรมาส 2 กับไตรมาสก่อนหน้า ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ สามารถโชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยพลิกฟื้นจากไตรมาสก่อนที่ขาดทุนมาเป็นกำไรสุทธิ 47.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 272.3% ในขณะที่กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 156.4% และยอดขายเพิ่มขึ้น 16.6% จากไตรมาสแรกของปี
โดย TFM กล่าวถึงแนวทางการบริหารบริษัทตั้งแต่ต้นปี 66 ว่า บริษัทได้มีความพยายามในการปรับปรุงและปรับระบบในการบริหารจัดการด้านต่างๆ ทั้งในด้านการบริหารจัดการต้นทุน และการควบคุมการผลิตสินค้า เพื่อให้มีคุณภาพที่ดี รวมถึงไปการตอบสนองความต้องการของลูกค้าในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความสดใหม่ของอาหาร รวมไปถึงคุณภาพอาหารที่จะช่วยให้สัตว์น้ำเติบโตได้ดี ในอัตรา FCR (Feed Conversion Ratio) ที่ต่ำ เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถมีกำไรและเป็นพันธมิตรที่ดีกับริษัท ตลอดจนการผนึกกำลังกับธุรกิจต่างๆ ในกลุ่มของไทยยูเนี่ยน เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและขยายธุรกิจไปโอกาสใหม่ๆ และช่องทางต่างๆ
ขณะที่มียอดขายของ TFM มีสัดส่วนมาจากธุรกิจ 3 ส่วนหลัก คือ ธุรกิจอาหารกุ้ง 60.6% ธุรกิจอาหารปลา 29.3% ธุรกิจอาหารสัตว์บก 8.7% และอื่นๆ 1.4% โดยในไตรมาส 2/66 ธุรกิจอาหารกุ้งมียอดขายอยู่ที่ระดับ 813.9 ล้าน เพิ่มขึ้น 14.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากการปรับกลยุทธ์การขายที่เน้นสินค้าพรีเมียมมากยิ่งขึ้น จะเห็นได้ว่าปริมาณการขายอาหารกุ้งยังคงอยู่ในระดับเดียวกันกับปีที่ผ่านที่ 25,249 ตัน เพิ่มขึ้นเพียง 0.7%
สำหรับธุรกิจอาหารปลามียอดขายอยู่ที่ระดับ 394 ล้านบาท ลดลง 9.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แม้ว่ายอดขายอาหารปลาในประเทศจะยังทรงตัวได้ดีจากกลยุทธ์การขายที่เน้นอาหารปลากะพง แต่ยอดขายอาหารปลาของบริษัทในประเทศปากีสถานมีการปรับลดตัวลงส่งผลให้ยอดขายในส่วนนี้ลดลงไปด้วย ส่วนธุรกิจอาหารสัตว์บก มียอดขายอยู่ที่ 116.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในประเทศปากีสถาน
"เราใช้วิธีคิดและแนวทางการบริหารจัดการแบบครบวงจรเข้ามาปรับใช้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตให้มากขึ้น โดยเฉพาะคุณภาพของสินค้าและบริการ เพราะถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจในการสร้างความไว้วางใจกับลูกค้าในระยะยาว ซึ่งในสถานการณ์ที่วัตถุดิบมีราคาสูงขึ้น การบริหารจัดการกลุ่มสินค้าเป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญ โดยจะไม่ผลิตสินค้าในกลุ่มที่ไม่ทำกำไร การบริหารจัดการต้นทุนจึงเป็นการวิเคราะห์ต้นทุนและวางแผนการผลิตอย่างรอบคอบให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ทำให้เราสามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้ในไตรมาสนี้ ในครึ่งปีหลังของปีเรายังเดินหน้าพัฒนาธุรกิจทุกรูปแบบเพื่อให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่องตามเป้าหมาย" นายพีระศักดิ์ กล่าว