หุ้น IPO ของ "ไอ ทู เอ็นเตอร์ไพรซ์" ขายหมดเกลี้ยง 120 ล้านหุ้น สะท้อนความเชื่อมั่นธุรกิจเติบโตยั่งยืน ชูจุดแข็งอยู่ในอุตสาหกรรมเมกะเทรนด์ “ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชัน” แท็กทีมพาร์ตเนอร์แข็งแกร่ง ด้านลีดอันเดอร์ไรต์ระบุหุ้น I2 ได้รับความสนใจจากนักลงทุนล้นหลามมาจากความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และมีอนาคตที่สดใส
นายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ไอทู เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด (มหาชน) (I2) เปิดเผยว่าหุ้น IPO ของ I2 จำนวน 120 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 2.70 บาท คิดเป็นมูลค่าการเสนอขายรวม 324 ล้านบาท ที่เปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 25 -27 กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากนักลงทุนจองซื้อเข้ามาจำนวนมาก ตอกย้ำให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อธุรกิจของบริษัท ในฐานะผู้ให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแบบครบวงจรชั้นนำ โดยในอนาคตยังมีโอกาสได้รับงานจากทางภาครัฐได้อีกมาก ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน
นอกจากนี้ การกำหนดราคาเสนอขาย IPO ที่หุ้นละ 2.70 บาท ถือเป็นราคาที่เหมาะสม โดย I2 เตรียมจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี (TECH) ในวันที่ 8 สิงหาคม 2566
น.ส.มนวลัย รัชตกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส 14 แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่าจุดเด่นของ I2 คือการเป็นผู้ประกอบธุรกิจ System Integrator (SI) แบบครบวงจร ได้แก่ ให้คำปรึกษา ออกแบบ จัดหา ติดตั้งและจำหน่ายผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่สำคัญธุรกิจของ I2 จะเน้นงานในส่วนของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ เช่น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง การกีฬาแห่งประเทศไทย และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) เป็นต้น สะท้อนถึงศักยภาพการทำงานที่ได้มาตรฐานและสามารถส่งมอบงานได้ตรงตามเวลาไม่เคยมีปัญหาใดๆ มีพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกับผู้ผลิตอุปกรณ์ และผู้พัฒนาซอฟท์แวร์เครือข่ายสารสนเทศชั้นนำ เช่น Cisco, Oracle, Nutanix, Huawei เป็นต้น
ที่สำคัญคือการมีทีมบริหารและพนักงานที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์มาอย่างยาวนานในธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในระดับประเทศ ตลอดจนมองเห็นถึงศักยภาพการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต โดยบริษัทฯ สามารถปรับตัวสอดคล้องกับนโยบาย 4.0 และการทำธุรกิจที่เติบโตไปกับ S Curve ของประเทศเพื่อมุ่งสู่ Digital Transformation
นายอธิพร ลิ่มเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ ทู เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด (มหาชน) (I2) กล่าวว่า เงินที่ได้รับจากการระดมทุนครั้งนี้จำนวนรวม 324 ล้านบาท จะแบ่งออกไปใช้ดังนี้ 1.ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในงานโครงการขนาดใหญ่แก่หน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ภายในปี 2567 จำนวน 200 ล้านบาท 2.เพื่อใช้ในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ การลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างการเติบโตให้บริษัทฯ ขึ้นอยู่กับโอกาสทางธุรกิจ และความเหมาะสมในการลงทุนในอนาคต ซึ่งอาจรวมถึงการขยายธุรกิจโดยการเข้าซื้อกิจการอื่น ภายในปี 2567 จำนวน 100 ล้านบาท และ 3.ส่วนที่เหลือจะเก็บไว้ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ
โครงการในอนาคตของ I2 มีสองส่วนที่ให้ความสำคัญอย่างมากคือ 1.งานโครงการขนาดใหญ่แก่ลูกค้า เช่น งานโครงการ SI ขนาดใหญ่โดยทั่วไป เมื่อมีการประกาศผู้ชนะการประมูลแล้ว บริษัทผู้ชนะการประมูลจะต้องใช้เงินทุนของบริษัทเองจำนวนหนึ่งตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นโครงการ อันได้แก่ (1) วางเงินประกันโครงการ (Bank Guarantee) บางส่วนก่อนเริ่มงาน รวมถึงเงินประกันผลงานตามขั้นความสำเร็จของงวดงานตามที่ได้ตกลงกันไว้ จนกว่าจะส่งมอบโครงการเรียบร้อยจึงจะได้รับเงินประกันดังกล่าวคืน และ (2) จัดซื้อจัดหาอุปกรณ์ และ/หรือการบริการที่ต้องใช้ในการจัดทำโครงการ ทำให้บริษัทฯ มีความจำเป็นต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนในงานโครงการ
2.การลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการลงทุน การควบรวม การซื้อกิจการ หรือการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เป็นกลยุทธ์ในการสร้างการเติบโตให้บริษัทฯ ได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งจะทำศึกษาโอกาสในการเติบโตและขยายธุรกิจที่เกี่ยวข้อง พัฒนาโซลูชันและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้บริษัทฯ อย่างครบวงจร ทั้งนี้ I2 มุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องหรือสนับสนุนธุรกิจปัจจุบันของบริษัทฯ
"บริษัทฯ เตรียมนำเงินที่ได้จากการขายหุ้นไอพีโอในครั้งนี้ไปใช้สำหรับการลงทุนงานโครงการขนาดใหญ่ให้แก่ลูกค้า เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ (Recurring Income) และการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้าง New S Curve ให้ธุรกิจ เพื่อการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต รวมไปถึงเดินหน้าเข้าร่วมประมูลงานภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อเพิ่ม Backlog ให้มากขึ้นจากปัจจุบันมีอยู่ราว 961.25 ล้านบาท (ณ 31 มีนาคม 2566) เพื่อหนุนธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง" นายอธิพร กล่าว