ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เผยผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 ปล่อยสินเชื่อใหม่จำนวนถึง 89,030 บัญชี วงเงิน 111,796 ล้านบาท คิดเป็น 47.48% ของเป้าสินเชื่อปล่อยใหม่ทั้งปี โดย ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 มียอดสินเชื่อคงค้างรวมทั้งสิ้น1,640,593 ล้านบาท สินทรัพย์รวม 1,692,170 ล้านบาท หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) 4.27% ของยอดสินเชื่อรวม ตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ จำนวน 138,452 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อ NPL สูงถึง 197.66% เงินฝากรวม 1,448,688 ล้านบาท มั่นใจสิ้นปีปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ตามเป้าหมาย 235,480 ล้านบาท
นายกฤษณ์ เสสะเวช กรรมการธนาคาร และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงาน ณ ไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 ว่า หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 เริ่มคลี่คลายลง ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว รายได้ของประชาชนปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น ประชาชนเริ่มกลับมาตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น ส่งผลให้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 ธอส.สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้จำนวน 89,030 บัญชี วงเงิน 111,796 ล้านบาท คิดเป็น 47.48% ของเป้าหมายสินเชื่อปล่อยใหม่ปี 2566 ที่ 235,480 ล้านบาท โดยเป็นสินเชื่อปล่อยใหม่สำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลางวงเงินกู้ไม่เกิน 2.5 ล้านบาท จำนวน 49,908 ราย
ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 เทียบกับ ณ สิ้นปี 2565 ธอส. มียอดสินเชื่อคงค้างรวมทั้งสิ้น 1,640,593 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.65% มีสินทรัพย์รวม 1,692,170 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.97% เงินฝากรวม 1,448,688 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.27% หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จำนวน 70,045 ล้านบาท หรืออยู่ที่ 4.27% ของยอดสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้น 0.53% จากสิ้นปี 2565 ที่มี NPL อยู่ที่ 3.74% ของยอดสินเชื่อรวม อย่างไรก็ตาม ธอส. ได้มีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่ 138,452 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อ NPL สูงถึง 197.66% สะท้อนความมั่นคงและความพร้อมในการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต ขณะที่ตัวเลขกำไรสุทธิอยู่ที่ 6,534 ล้านบาท และมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง(BIS Ratio) ยังอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 15.29% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนด
“การที่ธนาคารยังคงปล่อยสินเชื่อใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง เป็นเพราะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่หลากหลายซึ่งเป็นทางเลือกให้ลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง เช่น โครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 3 ที่ยังคงได้รับการตอบรับจากประชาชนจำนวนมาก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยต่ำคงที่เพียง 3% ต่อปีนานถึง 5 ปีแรก ล่าสุด ณ วันที่ 20 กรกฎาคม 2566 มีลูกค้ามายื่นขอสินเชื่อแล้ว จำนวน 7,700 ราย คิดเป็นวงเงินสินเชื่อ 8,021 ล้านบาท และได้รับอนุมัติสินเชื่อแล้ว 6,882 ราย วงเงินสินเชื่อ 6,895 ล้านบาท โดยธนาคารเชื่อว่าจะสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 235,480 ล้านบาท เนื่องจากโครงการที่อยู่อาศัยจะมีการส่งมอบและโอนกรรมสิทธิ์ ในช่วงท้ายของปีเป็นจำนวนมาก ประกอบกับยังมีมาตรการสนับสนุนจากรัฐบาลถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เช่น ลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ จากอัตราปกติ 2% เหลือ 1% และลดค่าธรรมเนียมการจดจำนอง จากอัตราปกติ 1% เหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ขณะที่การดูแลลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้จาก COVID-19 ธอส.ได้ดำเนินการขยายเวลาลงทะเบียนมาตรการเป็นวันที่ 30 ธันวาคม 2566 อีกด้วย” นายกฤษณ์ กล่าว
สำหรับทิศทางการดำเนินงานในอนาคตนั้น ธอส.มุ่งสู่การเป็นธนาคารเพื่อความยั่งยืน (The Best Housing & Sustainable Bank) โดย ธอส. มีแผนในการระดมทุนผ่านพันธบัตรด้านความยั่งยืน (ESG Bond) ประกอบด้วย พันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) พันธบัตรเพื่อพัฒนาสังคม (Social Bond) และพันธบัตรเพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Bond) เพื่อนำมาสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่สามารถประหยัดการใช้พลังงาน หรือลดการใช้พลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้ารายย่อยในโครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและปานกลางให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้มากขึ้น
ขณะเดียวกัน ธอส. ยังคงเดินหน้าสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดด้านดิจิทัลให้ลูกค้า (Best Digital Experience) ตลอดเส้นทางการใช้บริการของลูกค้า (End-to-End Customer Journey) ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และปรับปรุงกระบวนการให้บริการผ่านช่องทางดิจิทัลของธนาคารแบบครบวงจร ทั้ง 4 ด้าน ประกอบด้วย 1.การปล่อยสินเชื่อ เช่น การยื่นขอสินเชื่อผ่าน Application : GHB ALL GEN การวิเคราะห์และประเมินวงเงินสินเชื่อผ่าน Digital Appraisal และการทำสัญญาเงินกู้ระหว่างธนาคารกับลูกค้า ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Contract) เป็นต้น 2.การให้บริการด้านเงินฝาก พัฒนาฟังก์ชันและผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์เงินฝากดิจิทัล บริการ GHB Corporate อำนวยความสะดวกให้ลูกค้านิติบุคคลให้เข้าถึงข้อมูลบัญชีเงินฝากง่ายขึ้นผ่านเว็บไซต์ธนาคาร เป็นต้น 3.การประนอมหนี้ผ่าน Application : GHB ALL BFRIEND ตั้งแต่การปรับโครงสร้างหนี้ ไปจนถึงการชำระเงินงวดตามข้อตกลง และ 4.การจำหน่ายบ้านมือสอง ธอส. ผ่าน Application : GHB ALL HOME และเว็บไซต์ www.ghbhomecenter.com
นอกจากนี้ ธอส. จะยังคงเดินหน้าพัฒนาการบริการให้ลูกค้าผ่าน Mobile Application : GHB ALL GEN ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยคำนึงถึงความปลอดภัย รวมทั้งเพิ่มฟังก์ชันการให้บริการ เช่น การขอสินเชื่อเพิ่ม การลงนามทำสัญญาซื้อขายบ้านมือสอง ธอส. ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (NPA e-Contract) การขอรับเงินงวด/การปลูกสร้าง/ต่อเติม การขอหนังสือรับรองฐานะการเงินเพื่อประกอบการขอวีซ่า และการเชื่อมข้อมูลระหว่าง GHB ALL GEN กับ Application Line GHB Buddy เพื่อความสะดวกในการใช้บริการของลูกค้า เป็นต้น