นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวใน เวทีสัมมนา "อนาคตประเทศไทยหลังเลือกตั้ง" โอกาสครบรอบ 26 ปี สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงหลังการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่นั้นมีโจทย์สำคัญที่ต้องการการตัดสินใจหลายเรื่อง โดยเรื่องที่ 1 คือภาวะเงินเฟ้อและการเติบโตของเศรษฐกิจโลก เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังไม่ได้ลดลงตามเป้าหมายที่น่าพอใจหลังการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา เศรษฐกิจที่คาดว่าจะชะลอตัวหรืออาจมีการถดถอยอาจจะกระทบแรงกว่าที่คาดไว้ จึงอาจเห็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกประมาณ 2 ครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง
เช่นเดียวกับแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อาจชะลอตัวลงกว่าที่คาดการณ์ซึ่งจะมีผลต่อการพิจารณาปรับขึ้นหรือไม่ขึ้นดอกเบี้ยได้อีกเช่นกัน ขณะที่เศรษฐกิจไทยย่อมได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวของภาคการผลิตและส่งออก แต่ยังมีข้อดีที่ภาคการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวจึงมาช่วยชดเชยเอาไว้ได้ส่วนหนึ่ง ฉะนั้นถ้าประเทศไทยปลดล็อกเรื่องการท่องเที่ยวได้ดี จะมีแรงส่งให้ก้าวผ่านสถานการณ์นี้ไปได้
ส่วนทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่คาดว่าช่วงครึ่งหลังของปีนี้อาจเห็นการปรับขึ้นอีก 1-2 ครั้ง ทำให้ดอกเบี้ยจะปรับมาอยู่ที่ 2.25-2.50% ซึ่งเป็นระดับที่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับสถานการณ์ก่อนเกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ปัจจุบันยังเผชิญกับปัญหาเรื่องหนี้นอกระบบและภาระหนี้ที่เกิดขึ้นในช่วงโควิด-19 โจทย์สำคัญจึงยังต้องทำให้ประชาชนมีรายได้เพื่อมาแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างต่อเนื่อง และหวังว่าการปลดล็อกเรื่องท่องเที่ยวจะเข้ามาช่วยประเด็นนี้ได้ดีขึ้นเช่นกัน
"ความท้าทายของโจทย์ในข้อนี้อาจจะไม่ใช่ว่าจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้เท่าไหร่ แต่อยู่ที่จะทำอย่างไรที่ทำให้เรายืนหยัดอยู่ได้ผ่านก้อนวิกฤตที่จะเกิดขึ้นได้ และสามารถวิ่งได้อีกครั้งเมื่อทุกอย่างจบลง ถือว่าเป็นชัยชนะที่ดีน่าพอใจในระดับหนึ่ง" นายกอบศักดิ์ กล่าว
ความท้าทายเรื่องที่ 2 คือ การเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยีใหม่ โดยเฉพาะการนำปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่พลิกโลกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แม้ปัจจุบันยังเป็นช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง แต่เชื่อว่าในอีก 1-2 ปีข้างหน้าจะเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างรวดเร็วมากเรียกว่าก้าวกระโดดยิ่งกว่าทวีคูณ ดังนั้น ประเทศไทยต้องก้าวให้ทันกับเทรนด์ความเปลี่ยนแปลงและเทคโนโลยีใหม่นี้
เรื่องต่อมา คือ สถานการณ์เงินลงทุนที่ไหลเข้ามาในภูมิภาคอาเซียนเป็นจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่ไปที่อินโดนีเซีย เวียดนาม และสิงคโปร์ มาที่ประเทศไทยบ้างแต่เป็นส่วนน้อย โจทย์นี้จึงอยู่ที่จะทำอย่างไรเพื่อสร้างเสน่ห์ให้ประเทศไทยน่าดึงดูดให้เข้ามาลงทุน ประเด็นนี้อาจจะไม่เห็นผลลัพธ์ในทันที แต่ในอีก 5 ปีข้างหน้าเมื่อสร้างโรงงาน สร้างนิคมอุตสาหกรรม โครงสร้างพื้นฐานและห่วงโซ่การผลิตต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้วจะเห็นความแตกต่างที่ชัดเจน หากประเทศไทยไม่สามารถดึงดูดเงินลงทุนเหล่านี้ได้ เราจะตกขบวนในอนาคต และขีดความสามารถการแข่งขันในภูมิภาคอาเซียนจะเปลี่ยนไป
สุดท้ายคือเรื่องความขัดแย้งในสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ทั้งสองฝ่ายต่างต้องการให้แต่ละประเทศเลือกข้าง ซึ่งในมุมมองของตนนั้นเห็นว่า การเลือกข้างใดข้างหนึ่งอาจไม่ใช่คำตอบ แต่การเลือกเป็นกลางน่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า เชื่อว่าในอนาคตประเทศที่เลือกเป็นกลางน่าจะเหลือน้อยลงเรื่อยๆ แต่จะมีคุณมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจึงเป็นประเด็นสำคัญที่ประเทศไทยต้องกำหนดบทบาทและการวางตัวให้ชัดเจน ซึ่งจะมีผลต่อการกำหนดกลยุทธ์ของประเทศไทยในระยะยาว 20 ปีข้างหน้าด้วย
"จากโจทย์ทั้งหมดนี้ ความยากคือตอนนี้เรายังไม่เห็นหน้าตาที่ชัดเจนของรัฐบาล และด้วยโครงสร้างของการเป็นรัฐบาลผสม ซึ่งจะต้องมีการจัดสรรเกี่ยวกับการดูแลกระทรวงต่างๆ ดังนั้นนโยบายเศรษฐกิจจึงอาจไม่มีเอกภาพมากเพียงพอ และเป็นความท้าทายสำหรับรัฐบาลใหม่ว่าจะขับเคลื่อนประเทศไทยอย่างไรต่อไป" นายกอบศักดิ์ กล่าว