หุ้นเก็งกำไรตัวเล็กทยอยทรุดลงเป็นใบไม้ร่วง จากหุ้นยอดนิยม กลายร่างเป็นหุ้นตายซาก โดยมีนักลงทุนต้องเซ่นสังเวย ขาดทุนป่นปี้กันนับแสนๆ ราย
หุ้นที่ตกอยู่ในสภาพตายซาก เช่น บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY หุ้นบริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) หรือ CHO หุ้นบริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หุ้นบริษัท เอเจ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AJA หุ้นบริษัท เค.ซี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ KC หุ้นบริษัท ไมด้า แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ MIDA และหุ้นบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK รวมทั้งหุ้นตัวเล็กที่เคยเก็งกำไรกันอย่างร้อนแรงอีกนับสิบๆ บริษัท
ในอดีตหุ้น BEAUTY หุ้น CHO หุ้น AJA หุ้น KC หุ้น MIDA และหุ้น STARK ล้วนเคยติดอันดับหุ้นเก็งกำไรยอดนิยมลำดับต้นของตลาดหุ้น มีการสร้างข่าวดีกระตุ้นเก็งกำไร ล่อแมลงเม่าให้ตามแห่เข้าไป ราคาหุ้นถูกลากพุ่งทะยานอย่างร้อนแรง แม้หุ้นบางตัวผลประกอบการขาดทุนต่อเนื่องก็ตาม
แต่ปัจจุบัน หุ้นเก็งกำไรตัวเล็กกลายเป็นหุ้นตัวร้าย สร้างความเสียหายให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยรวมแล้วจำนวนหายแสนคน เพราะราคาหุ้นดิ่งลงเหว บางตัวร่วงลงกว่า 90% จากราคาที่ลากขึ้นไปสูงสุด และส่วนใหญ่ราคาหุ้นปรับตัวลงกว่า 50%
หุ้นตัวเล็กตัวร้ายนับสิบบริษัทสิ้นใจไปแล้ว กลายเป็นเถ้าธุลี เพราะฐานะของบริษัทกลวงโบ๋ มีแต่ภาพลวงตาที่สร้างหลอกตานักลงทุน แต่ฐานะทางการเงินที่แท้จริงมีปัญหา สุดท้ายต้องถูกตะเพิดพ้นตลาดหุ้น เช่น หุ้นบริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) หรือ EARTH หรือบริษัท ริช เอเชียร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ RICH
และยังมีหุ้นที่อยู่กลุ่มฟื้นฟูการดำเนินงานอีกนับสิบบริษัท เช่น หุ้นบริษัท โพลารีส แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ POLAR หุ้นบริษัท อินเตอร์ ฟาร์ อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ IFEC
นักลงทุนนับแสนรายที่ติดหุ้นตัวเล็กตัวร้าย และหุ้นยังซื้อขายตามปกติ แม้อยู่ในฐานะที่ดีกว่า นักลงทุนที่ติดหุ้นซึ่งถูกตะเพิดหุ้นตลาดหุ้นไปแล้ว หรือดีกว่านักลงทุนที่ถือหุ้นซึ่งถูกย้ายเข้าไปในกลุ่มฟื้นฟูการดำเนินงาน โดยหุ้นถูกขึ้นเครื่องหมาย SP พักการซื้อขายอยู่
เพราะยังสามารถสั่งซื้อขายหุ้นตัวเล็กตัวร้ายได้ และมีโอกาสลุ้นราคาหุ้นดีดตัวขึ้น หรือมีโอกาสรอคอยผลประกอบการบริษัทฯ ฟื้นตัว แต่ก็เป็นเพียงความหวังลมๆ แล้งๆ เท่านั้น
ผลประกอบการหุ้นตัวเล็กตัวร้ายส่วนใหญ่ยังขาดทุนต่อเนื่อง ไม่มีสัญญาณฟื้น เช่นเดียวกับราคาหุ้นที่ปักหัวลงเหว การซื้อขายซบเซาขนาดหนัก ซึ่งหากไม่มีเจ้ามือคอยดูแล
ราคาหุ้นอาจดิ่งจมดิน และแทบไม่มีมูลค่าซื้อขาย เพราะนักลงทุนทั่วไปถอยห่าง มองเป็นหุ้นเน่า ไม่เข้าไปเล่นแล้ว
เหลือแต่นักลงทุนรายย่อยนับแสนรายที่ติดหุ้นอยู่ยอดดอยเท่านั้น
BEAUTY ราคาเคยถูกลากขึ้นไปสูงสุดที่ 23.70 บาท ล่าสุดปิดที่ 81 สตางค์ จำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อยรวมทั้งสิ้น 28,659 ราย
CHO ในรอบ 12 เดือน ราคาเคยถูกลากขึ้นไปสูงสุดกว่า 5 บาท ล่าสุดปิดที่ 252 สตางค์ จำนวนผู้ถือหุ้น 15,302 ราย
AJA ในรอบ 12 เดือนถูกลากขึ้นไปสูงสุดที่ 43 สตางค์ ล่าสุดปิดที่ 19 สตางค์ จำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย 18,167 ราย
KC รอบ 12 เดือนเคยพุ่งสูงสุดที่ 63 สตางค์ ล่าสุดปิดที่ 11 สตางค์ มีผู้ถือหุ้นรายย่อย 4,113 ราย
STARK รอบ 12 เดือน ราคาเคยทะยานขึ้นสูงสุดที่ 5.10 บาท ปิดล่าสุดที่ 2.38 บาท โดยหุ้นอยู่ระหว่างถูกพักการซื้อขาย เนื่องจากยังไม่สามารถจัดทำงบการเงินปี 2565 ได้เสร็จสิ้น มีผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวน 9,613 ราย
และ MIDA อยู่ในสภาพมัมมี่มานับ 10 ปีแล้ว หลังจากเข้าตลาดหุ้นช่วงแรก เป็นหุ้นที่เก็งกำไรร้อนแรงสุดขีด แต่สุดท้ายเจ้าของถูก ก.ล.ต. ลงโทษฐานปั่นหุ้น ราคาหุ้นรูดลงทรงๆ ทรุดๆ แถว 40 สตางค์เศษ ท่ามกลางผลประกอบการที่ขาดทุนหลายปีติดต่อ โดยมีผู้ถือหุ้นรายย่อยติดอยู่ 4,970 ราย
หุ้นเก็งกำไรยอดฮิตในอดีตวันนี้ปิดฉากลงแล้ว โดยแทบไม่มีข่าวความเคลื่อนไหวใดๆ และกลายร่างเป็นหุ้นที่อยู่ในสภาพตายซาก มองไม่เห็นอนาคต
นักลงทุนจำนวนหลายแสนคนตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน ต้องหมดเนื้อหมดตัว และไม่อาจเรียกร้องขอการเยียวยาใดๆ จากตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งปล่อยให้หุ้นเน่าๆ เข้ามาปล้นเงินนักลงทุนในตลาดหุ้น
หุ้นเก็งกำไรตัวเล็กที่ราคาเคยพุ่งทะลุฟ้า แต่สุดท้ายร่วงลงมากองกับพื้นจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมซ้ำซาก เกิดจากน้ำมือของ “ขาใหญ่” หรือ “เจ้ามือหุ้น” ซึ่งอยู่เบื้องหลังการปั่นราคา
อาชญากรรมหุ้นที่สร้างความเสียหายร้ายแรงยังลอยนวลอยู่ พร้อมกับความมั่งคั่งที่ปล้นไปจากตลาดหุ้น ส่วนนักลงทุนที่ตกเป็นเหยื่อนับแสนๆ คนตายไม่เหลือซาก